ความดันโลหิตสูง เป็น 1 ในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของประชากรโลก จนถูกเรียกว่าเป็น “ฆาตกรเงียบ”หรือ Silent killerปัจจุบันทั่วโลกมีประชากรป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงเกือบ 1,000 ล้านคน โดย 2 ใน 3 ของผู้ป่วยกลุ่มนี้อยู่ในประเทศกำลังพัฒนาข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ระบุว่า โรคความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุการตายของประชากรโลกปีละประมาณ เกือบ 8 ล้านคน หรือประมาณ 12.8% ของสาเหตุการตายทั้งหมด คาดการณ์ว่าในอีก 6 ปีข้างหน้าหรือประมาณปี พ.ศ.2568 ความชุกของโรคความดันโลหิตสูงทั่วโลก จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,560 ล้านคน ผู้ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงจำนวนมากที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังป่วยด้วยโรคนี้ จึงทำให้ไม่ได้รับการดูแลรักษา โดยความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย มากกว่าคนปกติ 2 เท่าและเพิ่มความเสี่ยงเป็น 4 เท่า ในโรคหลอด เลือดสมองในประเทศไทย จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงมีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มจาก 3.9 ล้านคน เป็น 5.5 ล้านคน และพบว่าความชุกของโรคในประชากรอายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นจาก 21.4% เป็น 24.7% สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป เช่น การกินอาหารรสจัด ทั้งเค็มจัด หวานจัด ซึ่งมีผลต่อการป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงอย่างมาก รวมถึงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และการไม่ออกกำลังกาย จากสถานการณ์ที่มีความรุนแรงมากขึ้นดังกล่าว สมาพันธ์ความดันโลหิตสูงโลก (World Hypertension League) และสมาคมโรคความดันโลหิตสูงนานาชาติ (International Society of Hypertension) จึงให้ความสำคัญกับการคัดกรองและยืนยันการวินิจฉัยภาวะความดันโลหิตสูง เพื่อสร้างความตระหนักต่อสถานการณ์โรค โดยองค์การสหประชาชาติ ตั้งเป้าหมายว่า จะลดอัตราความชุกของโรคความดันโลหิตสูงลงให้ได้ 25% ภายในปี 2568จุดเริ่มต้นของการสร้างความตระหนักในเรื่องดังกล่าว ก็คือ การรู้ค่าความดันโลหิตสูงของตนเอง เนื่องจากสถิติทั่วโลกบ่งชี้ว่าในผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง มีเพียง 50% เท่านั้น ที่ทราบค่าระดับความดันโลหิตของตนเอง และมีประชากรเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีความตระหนักต่อโรคความดันโลหิตสูงนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้ข้อมูลว่า สิ่งที่สมาพันธ์ความดันโลหิตสูงโลก แนะนำ ก็คือการทำให้ประชากรตระหนักถึงการวัดความดันโลหิตสูง เพื่อจะได้รู้ค่าความดันโลหิตของตนเอง ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีการจัดบริการวัดความดันโลหิตในทุกสถานบริการ โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการวัดความดันโลหิตได้ง่ายและรู้ค่าความดันโลหิตของตนเอง เพื่อคัดกรองและวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงที่ถูกต้อง และค้นหาผู้ที่มีความดันโลหิตสูงเพื่อนำเข้าสู่ระบบการดูแลรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม รวมถึงกระตุ้นให้ประชาชนตื่นตัวเพื่อรับการตรวจวัดความดันโลหิตของตนเองอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ บอกว่า เครื่องวัดความดันโลหิตเป็นหนึ่งในเครื่องมือแพทย์ ที่มีส่วนสำคัญในการลดอัตราการป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง อันนำไปสู่ความพิการ เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ซึ่งปัจจุบันประชาชนสามารถหาซื้อเครื่องวัดความดันโลหิตแบบอัตโนมัติไว้ใช้งานได้ด้วยตนเองที่บ้าน เพื่อวัดความดันโลหิตของตนเองหรือญาติผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงหรือผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง ที่จะเป็นโรคความดันโลหิต ซึ่งการวัดค่าความดันโลหิตได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ เป็นสิ่งสำคัญมากที่จะช่วยในการดูแลสุขภาพตนเองหรือของผู้ป่วย ซึ่งบริการหนึ่งของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่อยากให้ประชาชนรับรู้ก็คือ บริการทดสอบความแม่นยำเทียบค่ากับเครื่องมือมาตรฐานของเครื่องวัดความดันโลหิตสูง“หากพบว่าเครื่องวัดความดันโลหิตมีค่าผิดพลาดเกินเกณฑ์ที่กำหนด ผู้ใช้งานจะได้ทราบและหาวิธีแก้ไข หรือหากเครื่องไม่ผ่านเกณฑ์ในเรื่องอัตราการรั่วของความดันภายในระบบ อาจมีสาเหตุมาจากอุปกรณ์ชำรุด เช่น สายท่อลม ภายในเครื่องชำรุดหรือเสื่อมสภาพ เมื่อเปลี่ยนอะไหล่หรือซ่อมแซมเฉพาะส่วนที่ชำรุด ก็สามารถนำกลับมาใช้งานได้” คุณหมอโอภาสบอก พร้อมกับแนะนำว่า ประชาชนควรนำเครื่องวัดความดันโลหิตสูงมาทดสอบความแม่นยำเทียบค่ากับเครื่องมือมาตรฐานอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงเวลา 2 ปี เพื่อสร้างความมั่นใจในผลการวัดค่าความดันโลหิตสูงที่ถูกต้องแม่นยำ ยุวนิตย์ หล้าสุพรม อายุ 68 ปี ซึ่งนำเครื่องวัดความดันโลหิตของตนเองมาทดสอบ บอกว่า การตรวจความแม่นยำเครื่องวัดความดันโลหิตทำให้เรามั่นใจในเครื่องที่เราใช้ อยู่ว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ เพราะเป็นเครื่องที่ใช้งานมานานแล้ว และเวลาที่นำเครื่องมาทดสอบ ก็จะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องจากเจ้าหน้าที่ในการใช้เครื่องวัดความดันโลหิต เพื่อวัดค่าความดันของตนเองที่ถูกวิธีเพื่อให้ได้ค่าวัดความดันที่แม่นยำด้วยสำหรับค่าความดันโลหิตปกติ จะอยู่ที่ประมาณ 120/80 มิลลิเมตรปรอท ในคนทั่วไป แต่สำหรับคนอายุ 60 ปีขึ้นไปค่าความดันโลหิตควรต่ำกว่า 150/90 มิลลิเมตรปรอท แต่ถ้าอายุน้อยกว่า 60 ปี แต่เป็นเบาหวาน หรือมีภาวะไตเสื่อม ค่าความดันโลหิต ควรต่ำกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท หากพบว่ามีค่าความดันโลหิตสูงกว่าปกติ ควรพบแพทย์เพื่อวางแนวทางการดูแลรักษาสุขภาพที่เหมาะสมต่อไป.