(เหยื่อระเบิดพลีชีพ-ฝูงชนเข้าร่วมพิธีฝังศพสมาชิกครอบครัวเดียวกัน 7 คนที่เมืองเนกอมโบ เมื่อ 24 เม.ย. หลังผู้ก่อการร้ายโจมตีโบสถ์และโรงแรม 6 แห่งในศรีลังกาด้วยระเบิดพลีชีพในวันอีสเตอร์ 21 เม.ย. มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 253 คน บาดเจ็บกว่า 500 คน (รอยเตอร์))เหตุโจมตีโบสถ์และโรงแรม 6 แห่งในศรีลังกาด้วยระเบิดพลีชีพหรือระเบิดฆ่าตัวตายเมื่อ 21 เม.ย. มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 253 คน บาดเจ็บกว่า 500 คน ทำให้ชาวโลกตื่นรู้ถึงมหันตภัยจากอาวุธร้ายแรงที่สุดของผู้ก่อการร้ายยุคใหม่อีกคำรบหนึ่ง!ทางการศรีลังการะบุมือระเบิดพลีชีพมี 9 คน มีผู้นำชื่อนายซาห์ราน ฮาชิม ผู้นำกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงภายในประเทศกลุ่มเล็กๆ ชื่อ “เนชั่นแนล ธาวฮีด จามาธ” (เอ็นทีเจ) และอาจได้รับความช่วยเหลือจากเครือข่ายก่อการร้ายสากล “กองกำลังรัฐอิสลาม” (ไอเอส) ซึ่งอ้างตัวว่าอยู่เบื้องหลังด้วยการโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพมีมานานแล้ว รวมทั้งในศรีลังกาเอง ซึ่ง “กบฏทมิฬ” ใช้กันอย่างแพร่หลายระหว่างต่อสู้กับรัฐบาลนาน 26 ปี ก่อนถูกปราบปรามได้เมื่อ 10 ปีก่อนผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ระเบิดพลีชีพในยุคใหม่ที่มีการบันทึกไว้ครั้งแรก คือกรณีที่กลุ่มหัวรุนแรงโยนระเบิดลอบปลงพระชนม์จักรพรรดิหรือซาห์ “อเล็กซานเดอร์ ที่ 2” แห่งรัสเซียใน ค.ศ.1881 หรือ 138 ปีก่อน ส่วนภาพถ่ายเข็มขัดติดระเบิดพลีชีพที่พบครั้งแรกอยู่ในสมัยที่ทหารจีนใช้ต่อสู้กับกองทัพจักรพรรดิญี่ปุ่นในทศวรรษ 1930 และต่อมานักบินของฝูงบินรบ “กามิกาเซ” ของญี่ปุ่น ก็ใช้เครื่องบินของตนเป็นอาวุธพุ่งชนศัตรูแบบพลีชีพเช่นกันส่วนมหาอำนาจตะวันตกเริ่มตื่นตระหนกกับระเบิดพลีชีพในช่วงสงครามกลางเมือง “เลบานอน” ในทศวรรษ 1980 หลังสถานทูตสหรัฐฯในกรุงเบรุต ถูกโจมตีด้วยรถบรรทุกติดระเบิดพลีชีพ มีผู้เสียชีวิต 63 คน ต่อมาค่ายทหารสหรัฐฯในเลบานอนก็ถูกโจมตีด้วยรถบรรทุกติดระเบิดพลีชีพอีก ทหารอเมริกันตายถึง 231 นาย เป็นการสูญเสียทหารในวันเดียวมากที่สุดของสหรัฐฯ ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสหรัฐฯชี้ว่าเป็นฝีมือกลุ่ม “เฮซโบลเลาะห์” ที่ถือกำเนิดในช่วงสงครามกลางเมืองเลบานอน และฝีมือ “อิหร่าน” ศัตรูคู่แค้นของสหรัฐฯ แต่ทั้ง 2 ฝ่ายปฏิเสธช่วงนั้นเอง กบฏ “พยัคฆ์ทมิฬอีแลม” (แอลทีทีอี) ในศรีลังกา ได้ส่งนักรบกลุ่มเล็กๆ เข้าไปฝึกอบรมการใช้อาวุธในเลบานอน และได้นำสิ่งที่พวกตนเรียนรู้ รวมทั้งยุทธวิธีระเบิดพลีชีพกลับไปศรีลังกา โดยกบฏทมิฬเริ่มโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพครั้งแรกด้วยการขับรถบรรทุกระเบิดถล่มค่ายทหารรัฐบาลใน ค.ศ.1987 หรือ 32 ปีก่อน คล้ายกับการโจมตีค่ายทหารสหรัฐฯในเลบานอน ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 55 คนในช่วงสงครามกลางเมืองนาน 26 ปี กบฏทมิฬโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพกว่า 130 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตมากมาย ทำให้กบฏทมิฬเป็นกลุ่มที่ใช้ระเบิดพลีชีพมากที่สุดในยุคนั้น เหยื่อสังหารรวมทั้งนายกรัฐมนตรีศรีลังกาและอดีตนายกรัฐมนตรีอินเดีย ก่อนกบฏทมิฬถูกปราบปรามได้และสงครามกลางเมืองยุติลงใน ค.ศ.2009 ขอสันติภาพ-ชาวคริสเตียนในอินเดียร่วมเดินขบวนไว้อาลัยให้เหยื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุโจมตีโบสถ์และโรงแรม 6 แห่งในศรีลังกา ที่เมืองซิลิกูรี เมื่อ 23 เม.ย. โดยแผ่นป้ายเขียนว่า “สันติภาพเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม” (เอเอฟพี)นอกจากกบฏทมิฬ กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในตะวันออกกลางก็หันมาใช้ยุทธวิธีโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจนกระทั่งถึงทศวรรษ 1990 ทั้งกลุ่ม “ฮามาส” และ “ฟาตาห์” ในปาเลสไตน์ ใช้ระเบิดพลีชีพโจมตี “อิสราเอล” เป็นว่าเล่น ส่วนเครือข่ายก่อการร้าย “อัล กออิดะห์” ภายใต้การนำของ นายโอซามา บิน ลาดิน ก็ใช้ระเบิดพลีชีพโจมตีสถานทูตสหรัฐฯในเคนยาและแทนซาเนีย ก่อนถล่มเรือรบ “ยูเอสเอสโคล” ของสหรัฐฯในเยเมนจากนั้นก็เกิดเหตุโจมตีแบบพลีชีพครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก เมื่อสมาชิก “อัล กออิดะห์” 19 คน จี้เครื่องบินโดยสาร 4 ลำไปก่อวินาศกรรมในสหรัฐฯ เมื่อ 11 ก.ย.2544 โดยเครื่องบิน 2 ลำพุ่งชนตึกแฝด “เวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์” ในนิวยอร์ก อีกลำพุ่งชนอาคารกระทรวงกลาโหม “เพนตากอน” ในวอชิงตัน ดี.ซี. อีกลำมุ่งไปโจมตีอาคารรัฐสภาในวอชิงตัน ดี.ซี. แต่ถูกผู้โดยสารต่อสู้ขัดขวาง ทำให้เครื่องบินตกที่รัฐเพนซิลเวเนียเสียก่อน ซึ่งวินาศกรรม 9/11 มีผู้เสียชีวิตกว่า 3,000 คน!หลัง 9/11 สหรัฐฯก็บุกโจมตี “อัฟกานิสถาน” ไล่ล่าบิน ลาดินและพวกอัล กออิดะห์ จากนั้นก็บุกยึด “อิรัก” โค่นล้มประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน สงครามอิรักจุดชนวนให้กองกำลังอิสลามกลุ่มก๊กนิกายต่างๆ ลุกฮือต่อสู้ขับไล่กองทัพสหรัฐฯ อีกทั้งสู้รบกันเองอย่างดุเดือด และมีการใช้ระเบิดพลีชีพโจมตีกันรุนแรงที่สุดในยุคใหม่สงครามอิรักยังส่งผลให้กลุ่มอัล กออิดะห์ ในอิรักกลายสภาพเป็น “กองกำลังรัฐอิสลาม” (ไอซิซ หรือไอเอส) และหลัง 9/11 การโจมตีด้วยระเบิดพลีชีพยังแพร่ขยายไปทั่วตะวันออกกลาง แอฟริกา ยุโรปโรเบิร์ต เอ. เปป ศ.คณะรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโกในสหรัฐฯ ระบุว่า ตั้งแต่ ค.ศ.1980 จนถึงเหตุการณ์ 9/11 มีการโจมตีแบบพลีชีพทั่วโลกราว 350 ครั้ง และตั้งแต่ ค.ศ.1980 จนถึงปัจจุบัน มีการโจมตีแบบพลีชีพทั่วโลกแล้วกว่า 6,000 ครั้ง! โดยราวครึ่งหนึ่งเกิดขึ้นในอิรักและซีเรียผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หลังไอเอสสูญเสียที่มั่นทั้งหมดในอิรักและซีเรียเมื่อเร็วๆนี้ กลุ่มไอเอสที่แตกพ่ายและแนวร่วมเริ่มหันมาใช้ยุทธวิธีโจมตีแบบพลีชีพทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่โจมตีได้ง่าย เช่น ศรีลังกาเอียน โอเวอร์ตัน ผู้อำนวยการบริหารของกลุ่ม “Action on Armed Violence” ในลอนดอน ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับระเบิดพลีชีพ ชี้ว่า ยุคนี้คือ “ยุคสมัยของระเบิดพลีชีพ” โดยแท้จริง และจะทวีความโหดร้ายขึ้นเรื่อยๆโดยผู้ก่อการร้ายจะแข่งขันกันเอง โจมตีให้รุนแรงส่งผลกระทบในวงกว้างที่สุด สร้างความเสียหายมากที่สุด ทำให้ผู้คนล้มตายมากที่สุดโดยไม่แยกแยะ เพื่อให้เป็นข่าวครึกโครมที่สุดเป็นคำเตือนที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ซึ่งประเทศต่างๆไม่ควรนิ่งเฉย...ต้องหาทางป้องกันอย่างสุดกำลัง ก่อนที่จะเกิดโศกนาฏกรรมเหมือนในศรีลังกา!บวร โทศรีแก้ว