เชื่อว่า เรื่องนี้ทำให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจของทุกฝ่าย?ทั้งกรมศิลปากร วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน. บุปผาราม อัยการ และศาลผู้ตัดสินคดี!กรณีเมื่อปี 2558 กรมศิลปากร เข้าแจ้งความร้องทุกข์ตำรวจ สน. บุปผาราม ดำเนินคดี พระพรหมกวี (ประกอบ ธมฺมเสฏฺโฐ) เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรฯ ข้อหาทุบทำลายโบราณสถานภายในวัดโดยมิชอบ ประกอบด้วยการรื้อศาลารายและกุฏิเจ้าคณะ 1 พร้อมกับสร้างศาลาและกุฏิใหม่ขึ้นมาแทนของเดิมแล้วกรมศิลปากรเลยตั้งป้อมจะเข้าไปรื้อถอนของใหม่ เพื่อสร้างศาลารายและกุฏิแบบเดิมขึ้นมาใหม่ แต่ทางวัดไม่ยอมจนกลายเป็นคดีความขึ้นโรงขึ้นศาล!พระพรหมกวีถูกแจ้งข้อหาดำเนินคดี 3 ข้อหา 1.พ.ร.บ.โบราณสถานที่ทุบกุฏิ 2.พ.ร.บ.สงฆ์ เพราะท่านเป็นเจ้าอาวาสกระทำผิด และ 3.ป.อาญา ปฏิบัติหน้าที่มิชอบมาตรา 157 ให้การรับสารภาพสุดท้ายศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ตัดสินจำคุก 3 ปี คำให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 1 ปี 6 เดือน แต่โทษจำให้รอลงอาญา 1 ปี!ปัญหาของคดีนี้มาจากถือกฎหมายคนละฉบับ กรมศิลปากรเมื่อประกาศพื้นที่โบราณสถาน เพื่ออนุรักษ์ของเก่าไว้เป็นสมบัติของแผ่นดิน ใครจะซ่อมแซม บูรณะ ต่อเติม ต้องขออนุญาตก่อนส่วนทางพระพรหมกวี ถือ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ที่อนุญาตให้เจ้าอาวาสมีหน้าที่บำรุงรักษาวัด จัดกิจการ และศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี ตัดสินใจดำเนินการบูรณะเพื่อพัฒนาวัดตามหน้าที่เรื่องนี้ ว่าที่ พ.ต.สมบัติ วงศ์กำแหง กรรมการฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายเนติบัณฑิตยสภา ให้ความเห็นน่าสนใจว่า ตาม ป.อาญาบุคคลจะอ้างว่า ไม่รู้กฎหมายเพื่อไม่ต้องรับโทษไม่ได้ พระ นักพรต นักบวชก็เช่นกันจำเลยเป็นถึงเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรฯ แต่มีประเด็นว่ารู้กฎหมายแค่ไหน?การเข้าสู่ตำแหน่งบริหารวัด อบรมความรู้เพียงพอหรือไม่ นักกฎหมายกรมการศาสนามองเห็นปัญหานี้หรือไม่ พระควรมีที่ปรึกษากฎหมายหรือยัง?คดีนี้จึงเป็นบทเรียนที่ต้องทบทวนไม่ให้เกิดขึ้นอีก ในสังคมควรมี “นิติกรชุมชน” ประจำหมู่บ้านเป็นอย่างน้อย เพราะทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย...ที่ว่ามาผมเห็นด้วยเต็มที่ ถ้าแบบนี้ตามวัดต่างๆ ควรมีนิติกรให้คำปรึกษาซะทีนะครับ?"สหบาท"