ฝุ่นพิษ PM 2.5 กลับมาวิกฤติอีกรอบในพื้นที่ กทม. และปริมณฑลสถานการณ์บ่งบอกมลพิษฝุ่นในเมืองหลวงรวมถึงเมืองใหญ่ๆของประเทศไทยกำลังกลายเป็นปัญหาเรื้อรังจากปริมาณการสะสมที่เกินลิมิตถึงจังหวะลมนิ่งห้วงฤดูหนาวเข้าฤดูร้อนก็จะวิกฤติทันทีเช่นเดียวกับปมวิกฤติความขัดแย้งทางการเมืองไทยที่ฝังรากลึก เชื้อซ่อนหลบในไม่ได้จางลงแต่อย่างใด กลับมาระอุทันทีที่ “วัคซีน” อำนาจพิเศษลดดีกรีอาการคุ้มดีคุ้มร้าย “ไบโพลาร์ทางสังคม” ที่ถูกกดไว้กำเริบทันควันมันแฝงมากับบรรยากาศโหมดเลือกตั้ง จังหวะที่ คสช.ปลดล็อกกฎเหล็กนักการเมือง ปล่อยผีนักการเมืองอาชีพกลับมาลงสนามการต่อสู้ช่วงชิงคะแนนเสียง แย่งกันเป็นฝ่ายถืออำนาจรัฐเปิดฉากซัดกันพลิกคว่ำพลิกหงายตั้งแต่เริ่มกระดานตามปรากฏการณ์ร้อนแรง เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 เสียง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยมีคำสั่งให้ยุบพรรค ไทยรักษาชาติ (ทษช.) ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92จากกรณีการเสนอชื่อ “แคนดิเดตพิเศษ” บัญชีนายกรัฐมนตรีของพรรค ทษช.เข้าข่ายกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่กลายเป็นข่าวใหญ่ เซอร์ไพรส์กันทั่วโลกเพราะมันคือปรากฏการณ์ท้าทายประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทยที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475ในอารมณ์สังคมไทยที่อธิบายได้จากบรรยากาศก่อนห้าทุ่มวันที่ 8 กุมภาพันธ์อึดอัด อึมครึม คลุมเครือ ไปกันไม่เป็นแต่ฉับพลันที่ “พระราชโองการ” ส่องนำทาง บรรยากาศตึงเครียด อาการอัดอั้นก็ผ่อนคลายลงทันทีโจทย์ร้อนล่อแหลมมีคำตอบโดยเงื่อนไขสถานการณ์มันก็ไม่แปลกที่ทุกฝ่ายจะต้องทำให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว ตามจังหวะที่ กกต.รีบชงเรื่องภายในไม่กี่วัน ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติเอกฉันท์ให้รับคำร้อง กกต.ที่ขอให้วินิจฉัยสั่งยุบพรรคไทยรักษาชาติ พร้อมแจ้งให้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 7 วัน และศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาครั้งต่อไปในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562ตามรูปการณ์สอดคล้องกับที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ระบุว่า โดยปกติคดีแบบนี้ศาลจะพิจารณาด้วยความรวดเร็วอยู่แล้วแนวโน้มรู้ผลเร็ว เพราะไม่มีอะไรซับซ้อนโดยกระแสผู้สันทัดการเมืองส่วนใหญ่กล้าแทงหวยก่อนล่วงหน้า เพราะเข้าเงื่อนข้อกฎหมาย นั่นไม่เท่ากับเข้าถึงความรู้สึกของประชาชนคนไทยที่คุ้นกับจารีตประเพณีไม่เคยมีการนำสถาบันลงมาพัวพันการเมืองเรื่องของเรื่องไม่ใช่แค่ยุบพรรค แต่ต้องลุ้นถึงขั้น “ใบดำ”ในมุมแบบที่นายอุดม รัฐอมฤต คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตโฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ประเมินหากมีการยุบพรรคไทยรักษาชาติ บทลงโทษกรรมการบริหารอาจโดนเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5-10 ปี แต่การลงสมัคร ส.ส.เป็นตัวแทนประชาชนจะโดนห้ามตลอดชีวิตเพราะเป็นความผิดร้ายแรง เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครอง“เป้าประหารทางการเมือง” จับจ้องไปที่ 14 กรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ ประกอบด้วย 1.ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรค 2.น.ส.สุณีย์ เหลืองวิจิตร รองหัวหน้าพรรค 3. นพ.พงษ์ศักดิ์ ภูสิทธิ์สกุล รองหัวหน้าพรรค 4.นายพฤฒิชัย วิริยะโรจน์ รองหัวหน้าพรรค 5.นายฤภพ ชินวัตร รองหัวหน้าพรรค6.นายมิตติ ติยะไพรัช เลขาธิการพรรค 7.นายคณาพจน์ โจมฤทธิ์ รองเลขาธิการพรรค 8.นายต้น ณ ระนอง รองเลขาธิการพรรค 9.นายวิม รุ่งวัฒนจินดา รองเลขาธิการพรรค 10.น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ นายทะเบียนสมาชิกพรรค 11.นายพงษ์เกษม สัตยาประเสริฐ โฆษกพรรค12.นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ เหรัญญิกพรรค 13.นายรุ่งเรือง พิทยศิริ กรรมการบริหารพรรค ที่ชิงยื่นใบลาออกไปก่อน 14.นายจุลพงษ์ โนนศรีชัย กรรมการบริหารพรรคล้วนลูกหลาน ทายาทตระกูล “ชินวัตร-ติยะไพรัช-ณ ระนอง” อีกส่วนก็มืองานสำคัญของ “นายใหญ่” สายตรง “น้องปู” อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตรต้นกล้าการเมืองขุมข่าย “ทักษิณ” ส่อแท้งตั้งแต่ยังไม่ได้แจ้งเกิด และนั่นยังต้อง “เกร็ง” กับสถานการณ์ลามเตลิด เสี่ยงเข้าข่ายสุ่มเสี่ยงความผิดอาญามาตรา 112 ที่ยังต้องลุ้นแรงสะท้อนอาฟเตอร์ช็อกช็อตต่อไปแรงตกกระทบมุมกลับจาก “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ยังขีดวงจำกัดความเสียหายไม่ได้เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน ก็แบบที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ต้องนำทีมแถลงข่าว งดปราศรัยใหญ่และการเคลื่อนไหวจากส่วนกลางในทุกกิจกรรม เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาแทรกซ้อนรีบชิงตัดตอน “ความเสี่ยง” ลามไปถึงพรรคสาขาหลักจากมุมที่นายเจษฎ์ โทณะวณิก อดีตที่ปรึกษากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ทีมกฎหมายสาย “ซือแป๋” นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ประเมินแนวโน้มสถานการณ์โอกาสยุบเครือข่าย “ทักษิณ” ทั้ง 3 พรรคตามเหตุที่พรรคไทยรักษาชาติเชื่อมโยงอะไรกับใครบ้าง การส่งผู้สมัครมีความเชื่อมโยงกันหมดกับพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อชาติ ต้องการเอาคะแนนเสียงมาเชื่อมโยงกัน มีการเกลี่ยผู้สมัครในการลงแต่ละเขต ซึ่งมันก็เป็นไปได้ แล้วแต่ว่าจะขยายผลไปถึงไหนจะมีหลักฐานมากแค่ไหนเพราะในมาตรา 92 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ระบุไว้เลยว่า “มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า” สามารถยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นโดยเค้าลางมีแวว “แกะรอย” ตามเส้นทางโยงยุทธศาสตร์ “แตกแบงก์พัน”ชนวนอันตรายลามถึงปม “ฮั้ว” เลือกตั้งพรรคสาขารอง ค่ายสาขาหลัก แฝงไปด้วยปมเสี่ยงพลิกคว่ำพลิกหงายเครือข่าย “ทักษิณ” ส่อพังตั้งแต่ต้นกระดานตามเงื่อนไขสถานการณ์กดดัน ไฟต์บังคับเดิมพันเกมพลิกขั้วอำนาจรอบท้ายๆอย่างไรเสีย “นายใหญ่” ก็ไม่ถอยแน่ อาการแบบที่อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ส่งสัญญาณ “chin up” เชิดหน้าลุยสู้ต่อไป กระตุกลูกข่ายไม่ให้แกว่งจากอาฟเตอร์ช็อก “บิ๊กเซอร์ไพรส์”ในอารมณ์แบบที่นายปรีชาพลขอความชัดเจน ไม่รู้พรรค ทษช.ทำผิดอะไรนักกฎหมาย นักเคลื่อนไหว แนวร่วมทีม “ทักษิณ” ขยับต่อต้านการยุบพรรคไทยรักษาชาติบรรยากาศอุ่นเตา เร้าอุณหภูมิเดือดในสถานการณ์อีกด้านก็มีขบวนการ “แหย่ไฟ” เล่นกันแรงถึงขั้นปลอมหนังสือราชกิจจานุเบกษา คำสั่ง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.ใช้อำนาจมาตรา 44 ปลดผู้นำทั้ง 3 เหล่าทัพล้อกับกระแสข่าวลือ “รัฐประหาร” กระพือในโซเชียลมีเดียร้อนถึงเบอร์ต้นๆหน่วยความมั่นคงต้องออกมาเคลียร์สถานการณ์ โดย พล.อ.ประยุทธ์กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ยืนยัน ไม่มีการปฏิวัติซ้อนสั่งการให้ตรวจสอบที่มาของกระแสข่าวและเอกสารเพื่อดำเนินคดีขณะที่เบอร์หนึ่งฝ่ายคุมกำลังอย่าง “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ก็ยืนยันข่าวลือก็คือข่าวลือ ไม่ได้เป็นความจริงแต่อย่างใดทุกอย่างเป็นไปตามไทม์ไลน์การเลือกตั้ง จุดยืนกองทัพยังเหมือนเดิมเสริมด้วยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ มือยุทธศาสตร์ประคองเศรษฐกิจ ยังต้องช่วยออกโรงสยบข่าวปฏิวัติ ยืนยันประเทศไทยมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมนี้แน่นอนสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงนี้ ทำให้ไทยต้องสร้างความมั่นใจให้ต่างประเทศเป็นอย่างมากนั่นไม่เท่ากับการตอกย้ำด้วยภาพข่าว “บิ๊กแดง” ในฐานะน้องรัก เดินตากฝนประกบเคียงข้าง “บิ๊กตู่” ระหว่างตรวจเยี่ยม “จิตอาสา” และกำลังพลที่ฝึกป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ที่ค่ายรบพิเศษ จังหวัดลพบุรีนี่คือภาวะจากฝุ่นพิษการเมือง อาฟเตอร์ช็อก “บิ๊กเซอร์ไพรส์” พรรคไทยรักษาชาติ“ผลมาจากเหตุ” ก็ต้องว่ากันไปตามพฤติกรรมการกระทำแต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใด ทุกพรรคทุกค่ายพึงสำเหนียก เป็นเรื่อง “มิบังควรอย่างยิ่ง” ที่นักการเมืองจะนำมาขยายผล ขยายความให้ระคายเคือง เพียงเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในการเลือกตั้งและทางที่ถูกที่ควรเลย มันก็อย่างที่ พล.อ.อภิรัชต์ จ่าฝูงกองทัพบก พูดชัด ทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่ล้ำเส้นซึ่งกันและกัน หน้าที่ใครทำอะไรก็ทำไปยึดหลักกฎหมาย ฝ่าฝุ่นพิษการเมืองที่กำลังฟุ้งกระจายเลี่ยงภาวะอันตราย จังหวะสะดุด อาจไปไม่ถึงเลือกตั้ง 24 มีนาคมเป้าหมายที่ประชาชนรอคอย เสี่ยงล้มกระดานพังหมด.“ทีมการเมือง”คลิกอ่านข่าวล่าสุด เจาะลึกข้อมูลเลือกตั้ง 2562