ประวัติศาสตร์และสิ่งที่อยู่ใต้สมองของคนอิตาลีและคนฝรั่งเศสน่าสนใจครับ คนที่ได้แต่อ่านข่าวความขัดแย้งของสองประเทศในปัจจุบันก็วิเคราะห์ไปอย่างหนึ่ง คนที่สนใจประวัติศาสตร์ก็วิเคราะห์อีกอย่างหนึ่งอิตาลีเป็นประเทศที่รุ่งเรืองมาก่อนประเทศอื่นในทวีปยุโรป กรุงโรมที่เป็นเมืองหลวงอิตาลีก็เคยเป็นศูนย์กลางความเจริญของจักรวรรดิโรมัน เป็นอู่ของอารยธรรมตะวันตก จักรวรรดิโรมันล่มสลาย เมื่อ ค.ศ.476 แต่พอถึงสมัยกลาง อิตาลีก็เป็นดินแดนแรกที่ผงาดขึ้นมาได้อีก แถมยังเป็นดินแดนแรกที่มีการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ประเทศไหนในยุโรปที่ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจก็อยากจะไปเกี่ยวข้องกับอิตาลีทั้งนั้นสมัยจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1 จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 สถาปนาดินแดนในคาบสมุทรอิตาลีเป็นราชอาณาจักรอิตาลี ความขัดแย้งระหว่างอิตาลีและฝรั่งเศสมีมาตั้งแต่สมัยนโปเลียนแล้วครับ อิตาลีมีพื้นที่น้อยกว่าประเทศไทยเกือบจะครึ่งหนึ่ง แต่ประชากรก็มากถึง 60 ล้าน อิตาลีแย่ที่สุดตอนที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แพ้สงครามโลกปุ๊บ ก็ถูกลดอาวุธ ถูกควบคุมทางทหาร ต้องเสียอาณานิคมในแอฟริกาและเสียดินแดนที่เคยยึดครองทั้งหมด ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมากแก่โซเวียตตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 อิตาลียังเป็นประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์ พอแพ้สงครามโลก เศรษฐกิจของประเทศย่ำแย่ ผู้คนไม่มีกิน พระเจ้าวิกเตอร์ เอมมานูเอลที่ 3 ก็แอบเล่นการเมืองจนประเทศเละเทะ สุดท้ายอยู่ไม่ได้ ต้องสละราชสมบัติและเสด็จไปประทับที่โปรตุเกส บัลลังก์กษัตริย์อิตาลีจึงตกอยู่กับพระเจ้าฮัมเบิร์ตที่ 2 บางท่านเรียกพระเจ้าอุมแบร์โตที่ 2 แต่กษัตริย์พระองค์ใหม่นี้ครองบัลลังก์ได้เพียงเดือนเดียว ประชาชนก็บอกไม่เอาระบอบนี้แล้ว คนอิตาลีร้อยละ 54 จึงออกเสียงลงประชามติเปลี่ยนการปกครองจากระบอบกษัตริย์เป็นสาธารณรัฐพ้นจากอำนาจกษัตริย์แล้ว อิตาลีก็มีรัฐธรรมนูญใหม่ มีการกระจายอำนาจจากการปกครองส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่น มีการให้สิทธิการออกเสียงแก่สตรี เปลี่ยนชื่อประเทศใหม่เป็น Italian Republic หรือสาธารณรัฐอิตาลีรัฐบาลผสมซึ่งมีนายกัสเปรีเป็นนายกรัฐมนตรีก็ทำงานหนักแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ พยายามเปลี่ยนการเมืองให้เป็นมาตรฐานประชาธิปไตยสากล ทำให้ทั้งโลกยอมรับและหันมาสมาคมค้าขายกับอิตาลี เมื่อประเทศดีขึ้น เกษตรกรที่ยากจนทางตอนใต้ก็หันมาสนับสนุนนิยมรัฐบาล อิตาลีก็เริ่มฟื้นตัวจากบรรษัทเอกชนจากต่างประเทศที่หอบเงินเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่น่าเชื่อครับ ประเทศที่เคยย่อยยับอัปราชัย กลายเป็นประเทศที่มีการว่างงานและการขาดดุลการค้าระหว่างประเทศน้อยมาก ภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี รายได้ประชาชาติสูงขึ้นมากกว่า 2 เท่า ของช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2อิตาลีใช้เวลาเพียง 3 ทศวรรษก็เขยิบตัวเองจากประเทศแพ้สงคราม มาเป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้าทันสมัย ผู้คนสมัยนั้นชมทั้งอิตาลีและทั้งเยอรมนีว่าสามารถสร้างความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นได้เมื่อฐานะทางเศรษฐกิจดี มีชื่อเสียงดี อิตาลีก็สร้างตัวเองให้มีบทบาทผู้นำ อิตาลีไปลงนามกับสหรัฐฯ และประเทศยุโรปตะวันตกอื่นๆ เพื่อตั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือที่เราเรียกว่า นาโต และอิตาลีเป็นประเทศแรกที่ยอมให้สหรัฐฯเข้าไปตั้งฐานทัพจรวดนอกจากจะร่วมตั้งนาโตแล้ว อิตาลียังไปร่วมมือกับฝรั่งเศส เยอรมนี และกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำหรือเบเนลักซ์ (เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และลักเซมเบิร์ก) ตั้งประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้า ซึ่งพัฒนามาเป็นสหภาพยุโรปในทุกวันนี้นี่แหละครับทุกประเทศในโลกนี้มีขึ้นมีลงครับ เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป 20 กว่าปี การพัฒนาอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมของประเทศหยุดนิ่ง คนไม่มีสตางค์ก็ออกมาประท้วงรัฐบาล อิตาลีเมื่อ 50 ปีที่แล้วกลับมาวุ่นวาย คนตกงาน เงินเฟ้อ ฯลฯ คนทั้งโลกจึงได้ยินข่าวร้ายของอิตาลีที่มีแต่ข่าวการลักพาตัว การลอบทำร้าย การลอบฆ่า และการโจรกรรม เรื่องเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนอิตาลีอิตาลีจึงเปลี่ยนสถานะจากประเทศมหัศจรรย์ กลายเป็น The Sick Man of Europe อิตาลียังมีเรื่องน่าสนใจอีกเยอะครับ.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com