กรณีกระแสดราม่า...พระตีระฆังดังรบกวนผู้อาศัยอยู่ในคอนโด พระพยอม พระนักเทศน์ชื่อดัง บอกว่า พระตีระฆังแค่ช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน...อีก 9 เดือนสบายหู“คนสมัยนี้หูเปราะ หูบาง จะให้ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณียุติแต่ยุคนี้หรือ...?”“Warat Karuchit” โพสต์เฟซบุ๊ก เปิดมุมมองเรื่องนี้เอาไว้น่าสนใจ ตอนแรกรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ยิ่งมีข้อมูลมากขึ้นยิ่งรู้สึกว่าสะท้อนปัญหาสำคัญของสังคมไทยหลายเรื่อง เช่น ปัญหาชนชั้น ...ความรู้สึกแรกๆที่คนส่วนใหญ่จะนึกถึงคือ “คนรวยเอาเปรียบคนจน” ซึ่งเป็นการตอกย้ำวาทกรรมชนชั้นจริงๆ...เป็นเรื่องสามัญสำนึกมากกว่าถัดมา...ปัญหาคอร์รัปชัน ทำไม? เขตถึงออกจดหมายเหมือนสั่งวัดได้โดยที่ไม่ได้ถามความเห็นคนส่วนใหญ่ คนร้องเรียนรู้จักกับผู้ใหญ่ที่ไหนหรือไม่...(ตามข่าวบอกว่าบอร์ดของบริษัทแม่ของคอนโดนี้ก็บิ๊กๆทั้งนั้น)สาม...ปัญหาวัฒนธรรม 1.ฝรั่งไม่เข้าใจวัฒนธรรมไทย 2.วัฒนธรรมโลก (วัตถุนิยม) พยายามกดทับวัฒนธรรมท้องถิ่นสี่...ปัญหาการสื่อสาร จริงๆมีปัญหาแค่สองคน แต่ข่าวออกไปเหมือนคนในคอนโดทั้งหมดมีปัญหาจึงเกิดภาพเหมารวมแบ่งแยกชนชั้น และห้า...ปัญหากฎหมาย เขตมีอำนาจสั่งวัดหรือไม่ (น่าจะไม่มี), คนในคอนโดได้รับการชี้แจงรู้สิทธิของตัวเองหรือไม่ว่าทำอะไรได้หรือไม่ได้เพราะ...พอเปิด...EIA ออกมาแล้วมีการระบุว่าคอนโดนี้จะสร้างได้ต่อเมื่อต้องไม่รบกวนวิถีชีวิตชุมชนดั้งเดิม โดยเฉพาะวัดไทรที่เป็นศูนย์รวมจิตใจคนในชุมชนหก...ปัญหาความเสี่ยงในโลกไซเบอร์และความรู้เท่าทันสื่อ มีคนเอาหน้าผู้หญิงคนหนึ่งมาอ้างว่านี่คือโฉมหน้าของคนที่ร้องเรียน จนคนแชร์ไปด่ามากมาย จนเจ้าตัวออกมาปฏิเสธบอกว่าแค่ไปคอมเมนต์เข้าข้างคอนโดเท่านั้น และจะฟ้องเพจต่างๆที่เอารูปตัวเองไปลงฐานผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เจ็ด...ปัญหาสามัญสำนึก น้ำใจไมตรี การเอาใจเขามาใส่ใจเรา ความเมตตาต่อกัน และธรรมาภิบาล...มีการเปิดเผยว่าคอนโดนี้ตอนสร้างก็เสียงดังมาก เกิดฝุ่นละออง ชาวบ้านรวมตัวกันไปบอกเจ้าอาวาสวัดไทรให้ไปบอกคอนโดหรือแจ้งทางเขต แต่เจ้าอาวาสบอกว่าเราควรจะมีเมตตาต่อกัน“ตรงนี้ผู้บริหารคอนโดน่าจะรู้ตัวและพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับวัดและห่วงใยความรู้สึกของชุมชนมากกว่าลูกค้าของตัวเองที่มีการร้องเรียนมานานแล้ว แบบนี้แสดงให้เห็นว่าไม่มีวิสัยทัศน์แบบความเจริญที่ยั่งยืนและมีปัญหาธรรมาภิบาล” “ฆ้อง”...“กลอง”...“ระฆัง” เป็นสัญลักษณ์ของการให้สัญญาณในการพร้อมเพรียงกันของชาวพุทธไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุหรือชาวบ้านเองที่ได้เคยมีมาตั้งแต่โบราณกาล เราเคยปฏิบัติกันมาจนกลายเป็นจารีตประเพณี และวัฒนธรรมของชาวพุทธไปแล้ว มิใช่เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ทว่า...ได้กลายเป็นวิถีของชาวพุทธไปแล้วพระมหาสมัย จินฺตโฆสโก ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. บอกอีกว่า ถ้าเป็นสังคมชนบทแล้วชาวบ้านจะยึดเอาเสียงฆ้อง กลอง ระฆังเป็นสัญญาณในการทำภาระหน้าที่การงานในชีวิตประจำวัน ส่วนพระภิกษุ สามเณรก็ได้ใช้เสียงทั้ง 3 ชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ว่า...การร่วมทำวัตรสวดมนต์ การให้สัญญาณว่าวันนี้เป็นวันโกนหรือเป็นวันพระ การมีงานร่วมกันของชาวบ้าน การมีเหตุร้ายต่างๆนานาที่เกิดขึ้นภายในวัดบ้าง ภายในหมู่บ้านหรือชุมชนบ้างส่วน “สังคมเมือง” ที่มีผู้คนมากมายอาจจะมักมองไม่เห็นคุณค่าของสัญญาณทั้ง 3 ชนิดนี้มากนัก เพราะเมืองกรุงไม่เคยมีเวลากลางวันและกลางคืนแต่...เมื่อถามถึงคนอาวุโสที่มีชีวิตอยู่รอบๆวัดของแต่ละวัดแล้วเมื่อได้ยินสัญญาณระฆังบ้าง สัญญาณกลองเพลบ้าง สัญญาณฆ้องบ้าง จะเกิดความสุขความอิ่มเอิบใจขึ้นมาทันที...สัญลักษณ์แห่งความดีได้เกิดขึ้นให้สัมผัสในชีวิตประจำวันขึ้นมาแล้ว มักไม่ค่อยมีใครปฏิเสธหรือเอะอะโวยวายขึ้นมาดังนั้น...เสียงที่เกิดขึ้นจากสิ่งสำคัญภายในวัดเหล่านี้จึงเป็นวิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธมาโดยตลอดและจะมีอยู่ต่อไปตราบใดที่ยังมีวัด...มีบ้านอยู่คู่กัน ดั่งคำโบราณที่ว่า “วัดพึ่งบ้านและบ้านก็พึ่งวัด” ก็ยังมีความสำคัญ จำเป็นสำหรับสังคมไทยพระมหาสมัย ย้ำว่า ชีวิตของพระสงฆ์ถูกครอบงำไว้ด้วยตาข่ายสี่ชั้นอันประกอบด้วย พระธรรมวินัย กฎหมายบ้านเมือง จารีตประเพณีของท้องถิ่น และ กติกาของสังคม นั้นๆ“การที่ลูกหลานของชาวบ้านจะบรรพชาหรืออุปสมบทเข้ามาในพระพุทธศาสนาเพื่อศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมนั้นจึงมิใช่เป็นเรื่องที่ง่าย นับตั้งแต่ต้องผ่านการคัดกรองจากทางกฎหมายบ้านเมือง คนที่ก่อคดีอาชญากรรมแล้วจะหลบเข้ามาบวชไม่ได้ ยกเว้น...จนกว่าคดีจะสิ้นสุดว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์”และมีรายละเอียดอื่นๆ ตามหลักการขอ “บรรพชา” หรือ “อุปสมบท”นอกจากนั้นแล้วยังจะต้องเป็นบุคคลที่สมประกอบทั้งทางร่างกายและจิตใจ ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็ต้องรักษาศีลของตนเองให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ อย่างเช่น สามเณรก็ต้องรักษาศีล 10 ข้อ ถ้าเป็นพระภิกษุก็ต้องรักษาศีล 227 ข้อครั้น...เมื่อครองเพศนักบวชแล้วก็ต้องจำพรรษาหรือจำวัดอยู่ในวัดวาอารามใดอารามหนึ่งอย่างเป็นทางการ มีพระอุปัชฌาย์ปกครองดูแล มีเจ้าอาวาสเป็นผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด มีพระพี่เลี้ยงคอยแนะนำพร่ำสอนวิธีปฏิบัติในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังต้องปรับตนให้เข้ากับจารีตประเพณี กติกาของสังคมในพื้นที่นั้นๆการเป็น “นักบวช” จึงมิใช่เรื่องง่ายและมิใช่เรื่องยากจนไม่สามารถทำได้เช่นเดียวกัน ชีวิตของพระสงฆ์จึงอยู่ในกรอบกติกาทั้งทางโลก...ทางธรรม จึงจะได้ชื่อว่าเป็น “พระภิกษุ” ของพระพุทธศาสนา การร้องเรียนต่างๆย่อมมีเกิดขึ้นทุกวันและทุกพื้นที่ ไม่ว่าการขัดแย้งภายในบางกรณีบ้าง การขัดแย้งระหว่างพระในวัดกับชาวบ้านที่อยู่รอบๆ วัดบ้าง การจัดสรรผลประโยชน์ไม่ลงตัวบ้าง การเคลือบแคลงสงสัยของประชาชนในพฤติกรรมของพระภิกษุบางรูปบ้าง...“ถ้ามีการบริหารจัดการภายในลงตัวได้ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของพระภิกษุ...ชาวบ้านในพื้นที่นั้นๆ แต่ถ้าหาข้อยุติไม่ได้ กลายเป็นข่าวใหญ่โตออกสู่สาธารณชนแล้ว ผลที่ได้รับคือความเสื่อม ความหายนะของวัดและชาวบ้านในพื้นที่นั่นเอง ทำให้วัด...ชุมชน หรือหมู่บ้านก็พลอยเสียหายไปด้วย”ทางที่ดีเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ขอให้ช่วยกันแก้ที่ต้นตอของปัญหา ขอให้ช่วยกันหาสาเหตุของปัญหา ขอให้ช่วยกันเสาะแสวงหาหนทางแก้ปัญหา ขอให้ช่วยกันแก้ปัญหาตามหลักพระธรรมวินัย กฎหมายบ้านเมือง อย่าได้เอาความชอบใจหรือความสะใจของคนใดคนหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง...สุดท้ายปัญหาที่เกิดขึ้นก็จะสงบลงด้วยความสง่างาม ความสงบสุข ความร่มเย็นของวัด...ชาวบ้าน เมื่อเราช่วยกันแก้ปัญหาได้ผลดีแล้วก็จะกลายเป็น “ตัวอย่างที่ดี” ให้กับวัด ชุมชน หรือให้กับพระภิกษุ...ชาวบ้านที่สำคัญให้ตระหนักอยู่เสมอว่า “ปัญหา” เกิดที่ตรงไหนขอให้ช่วยกันแก้ที่ตรงนั้น และอย่าปล่อยให้กาลเวลาหมักหมมมากขึ้นจนกลายเป็นการ “ทำลาย” ซึ่งเป็นสิ่งที่ “ชาวพุทธ” ไม่ต้องการปัดเป่าสนิมในใจ...เดินสายกลาง “วัดพึ่งบ้านและบ้านก็พึ่งวัด”...แล้วทุกชีวิตจะมีความสุข.