ภาพเปรียบเทียบอาคารเตาปฏิกรณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ไดอิจิ ในช่วงเกิดเหตุที่ระเบิดพังเสียหาย กับในปัจจุบันที่มีการซ่อมแซมและต่อเติม.วันที่ 11 มี.ค.2554 ประเทศญี่ปุ่นได้รับบาดแผลอันแสนเจ็บปวด จากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง ตามมาด้วยคลื่นยักษ์สึนามิ ทำลายเสียหายเป็นวงกว้าง รวมถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ไดอิจิ ที่กัมมันตภาพรังสีรั่วไหล กลายเป็นวิกฤตการณ์สร้างความหวาดวิตกไปทั่วโลกมาบัดนี้เวลาได้ผ่านไปกว่า 7 ปี ความรู้สึก “อันตราย” ยังไม่หายไปจากจิตใจคน เพียงแค่ได้ยินชื่อก็บังเกิดความขยาดหวาดกลัว ทั้งที่กระบวนการฟื้นฟูกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นด้วยการที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้รับโอกาสจากกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นไปเก็บข้อมูล จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปอย่างมากแล้วครับ โดยเฉพาะในพื้นที่ตัวโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ อธิบายง่ายๆคือ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกว่า 96 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องสวมชุดป้องกันอีกต่อไป ติดเพียงแค่เครื่องวัดปริมาณรังสีตามมาตรฐานความปลอดภัย เนื่องจากสารรังสีที่เคยฟุ้งกระจายในอากาศลดลงในระดับต่ำมาก อยู่ในพื้นที่โรงไฟฟ้า 1 ชั่วโมงจะได้รับรังสีเท่ากับการเอกซเรย์ฟัน 2 ครั้ง ซึ่งต่ำมาก เดินตากแดดยังรุนแรงกว่าจะเหลือแต่เพียงบริเวณอาคารเตาปฏิกรณ์ 3 แห่ง ที่ยังคงอันตราย เนื่องจากตอนเกิดเหตุระบบหล่อเย็นล้มเหลว ทำให้แท่งปรมาณูความร้อนสูงหลอมละลายกลายเป็นซากที่แผ่กัมมันตภาพรังสีตลอดเวลา และทุกวันนี้ยังคงต้องอัดฉีดน้ำเข้าไปภายในเตา เพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติมเมื่อครั้งเหตุหายนะโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ “เชอร์โนบิล” ในยูเครนปี 2529 เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ตัดสินใจนำ “โลงศพ” ตะกั่วบล็อกรังสีมาครอบซากเตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 ที่เสียหาย ภาษาชาวบ้านคือฝังลืม แต่สำหรับกรณีโรงไฟฟ้าฟูกูชิมะ ไดอิจิ มีแนวโน้มว่ารัฐบาลญี่ปุ่นตั้งใจจะขจัดให้หมดสิ้นงานนี้ความท้าทายคือการเก็บกู้ซากเตาและแท่งปรมาณูที่หลอม ละลาย รวมถึงแท่งนิวเคลียร์ใช้แล้ว 1,573 แท่ง ที่ยังแผ่ความร้อนต่อเนื่องเสี่ยงต่อการหลอมละลาย ในอาคารยูนิต 1-2-3 โดยยูมิโกะ ฮาเนดะ เจ้าหน้าที่ฝ่ายประสานงานอุบัติภัยนิวเคลียร์ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลจะเริ่ม กระบวนการเก็บกู้แท่งเชื้อเพลิงปรมาณูเก่าออกจากอาคารยูนิต 3 ภายในปีนี้ ตามด้วยแท่งพลังงานในยูนิต 1 และ 2 ภายในปีงบประมาณ 2566“สำหรับตัวซากเตาและแท่งพลังงาน ที่หลอมละลาย และเป็นตัวต้นเหตุของหายนะกัมมันตภาพรังสีทั้งปวงนี้ ทางการจะเริ่มพิจารณาในปีหน้า 2562 ว่าจะทำเช่นไรต่อ ซึ่งแนวโน้มคือ การสร้างเครื่องจักรพิเศษเจาะเข้าไปในตัวอาคารจากด้านข้าง จากนั้นจึงใช้โดรนขนาดเล็กค่อยๆเก็บกู้ซากออกมาทีละน้อย แต่การดำเนินการจริงๆคงต้องทำในปี 2564 หรือหลังจากนี้อีก 3 ปี”“เพราะเจ้าหน้าที่ต้องศึกษาด้านความปลอดภัยนานัปการ การเจาะอย่างไรไม่ให้ตัวอาคารหรือเตาได้รับความเสียหายพังถล่ม ถ้าเข้าด้านข้างไม่ได้จะเจาะจากด้านบนแทนได้หรือไม่ ไปจนถึงว่าซากเตาและแท่งพลังงานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกัมมันตภาพรังสี เอาออกมาแล้วจะจัดการอย่างไร” โดรนต้นแบบที่ญี่ปุ่นส่งเข้าไปตรวจสอบภายในอาคารเตาปฏิกรณ์ที่เต็มไปด้วยกัมมันตภาพรังสี ซึ่งในอนาคตจะมีการพัฒนาโดรนรุ่นใหม่ สำหรับใช้ในการเก็บกู้ซากเตาหลอมละลาย.ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่าทุกวันนี้เจ้าหน้าที่ยังอัดฉีดน้ำกว่า 200,000 ลิตรต่อวัน เพื่อหล่อเย็นซากเตาไม่ให้หลอมละลายไปมากกว่านี้ ซึ่งน้ำจากการหล่อเย็นย่อมปนเปื้อนไปด้วยสารรังสี อาทิ ซีเซียม สตรอนเทียม หรือทริเทียม รวมๆแล้วกว่า 62 ชนิดมวลน้ำปริมาณมหาศาลในแต่ละวัน จะมีการนำไปบำบัดขจัดสารปนเปื้อน ก่อนนำกลับไปรีไซเคิลเพื่อใช้หล่อเย็นซากเตาปฏิกรณ์ต่อไป หรือแยกออกมาเก็บไว้ในแท็งก์น้ำ และนำไปบำบัดให้สะอาดมากที่สุด เหลือเพียงแต่สารทริเทียมที่ปกติมีอยู่ตามธรรมชาติ หรือกระทั่งน้ำประปาไม่รวมถึงเรื่องน้ำปนเปื้อนซึมลงดิน และทางน้ำใต้ดินที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อน แต่กรณีนี้เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นชี้แจงว่า ได้มีมาตรการป้องกันที่รัดกุม โดยใช้แท่งเหล็กเย็นยาว 30 เมตรจำนวนมากเสียบลงไปในดินจนถึงตาน้ำ แท่งดังกล่าวจะลดอุณหภูมิในดินรอบๆต่ำกว่า -30 องศาเซลเซียส เมื่อดินและน้ำใต้ดินแข็งตัว ก็จะเหมือนกับมี “กำแพงน้ำแข็ง” มาล้อมรอบพื้นที่อาคารเตาปฏิกรณ์ สกัดกั้นไม่ให้น้ำปนเปื้อนเล็ดลอดลงสู่ทะเลได้อีกจากการเก็บสถิติพบว่า นับตั้งแต่ติดตั้งกำแพงน้ำแข็งเสร็จเดือน ต.ค.2558 “ค่าการแผ่รังสีในวัตถุหรือสสารใดๆ” (หน่วยเป็นเบ็ก-เคอเรล) ในบริเวณอ่าวรอบๆโรงไฟฟ้าก็ลดลงทันตาเห็น จากระดับสารสตรอนเทียม จำนวน 140 เบ็กเคอเรลต่อลิตร เหลือเพียง 0.3 เบ็กเคอเรลต่อลิตร ขณะค่าสารรังสีในทะเลรอบๆ ตอนเกิดเหตุปี 2554 เกิน 10,000 เบ็กเคอเรลต่อลิตร ปรากฏว่าภายในปี 2559 ลดเหลือในระดับ 0.7 เบ็กเคอเรลต่อลิตรหากไม่เห็นภาพ ขอเรียนว่าค่าเคลื่อนไหว สารรังสีในน้ำประปาธรรมดาอยู่ที่ 1 เบ็กเคอเรลต่อลิตร แต่แน่นอนว่าถึงสถิติจะบอกว่าไม่มีอะไรแล้ว ในเรื่องของความรู้สึกก็คงเป็นอะไรที่พูดยาก ไว้สัปดาห์หน้าจะมาเล่าต่อเรื่องมาตร-ฐานความปลอดภัยและการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของสินค้าจากฟูกูชิมะ ที่ไทยเป็น 1 ใน 27 ประเทศที่ยกเลิกคำสั่งแบน และพิจารณาจะนำเข้าครับ.วีรพจน์ อินทรพันธ์