คนรุ่นใหม่ น้อยคนนักจะรู้จักต้น “ฝอยทอง” ซึ่งในยุคสมัยก่อนจะพบมีขึ้นข้างทางมากมาย ลำต้นจะเป็นเส้นกลมๆ โตประมาณเส้นลวด เป็นสีเหลืองทองขึ้นเกาะอยู่บนต้นไม้อื่นเต็มไปหมดดูเหลืองอร่ามน่าชมยิ่งนัก จึงถูกตั้งชื่อว่าต้น “ฝอยทอง” ดังกล่าว ชาวบ้านพบเจอที่ไหนจะเก็บไปกองขายที่ตลาดให้คนซื้อไปปรุงเป็นอาหารรับประทาน โดยนำไปล้างน้ำให้สะอาดแล้วยำใส่พริกมะเขือเปราะหรือมะเขือขน ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลน้ำมะนาว เรียกว่า “ยำฝอยทอง” รสแซ่บรับประทานอร่อยมากในทางสมุนไพร ตำรายาแผนไทยระบุว่า “ฝอยทอง” เป็นผักธรรมชาติรับประทานแล้วยังมีคุณค่า เป็นยาห้ามเลือดตำพอก เลือดกำเดาไหล ตกเลือด อุจจาระเป็นเลือด ช่วยบำรุงไต ขับลม ขับเหงื่อ แก้ปวดเอว ปวดต้นขา รักษาแผลเรื้อรังและเม็ดผดผื่นคันที่เกิดจากอากาศร้อนได้เด็ดขาดนัก ส่วนการแก้นิ่วให้เอาต้น “ฝอยทอง” จำนวน 1 กำมือผู้ใหญ่ หรือประมาณ 30 กรัม ต้มกับน้ำท่วมยาหรือมากหน่อยจนเดือดดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ เช้า กลางวัน เย็น ต้มดื่มได้เรื่อยๆนานแค่ไหนก็ได้ไม่มีอันตรายอะไร จะช่วยทำให้อาการของนิ่วที่เป็นอยู่ค่อยๆทุเลาลงและหลุดหายได้ในที่สุดฝอยทอง หรือ CUSCUTA CHINENSIS LAMK. อยู่ในวงศ์ CUSCUTA CEAE เป็นพืชล้มลุกเติบโตบนต้นไม้อื่นและดูดอาหารจากต้นไม้ที่เกาะอาศัยลำต้นกลมเป็นเถาเลื้อยยาวสีเหลืองทองแตกกิ่งก้านเยอะ ใบเป็นเกล็ดออกเรียงสลับสีเหลือง เช่นลำต้น ดอก มีขนาดเล็กมากมองด้วยตาเปล่าบางครั้งไม่เห็น มีกลีบดอก 5 กลีบ สีเหลืองสด “ผล” รูปทรงกลมขนาดเล็กมีเมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและหน่อหรือต้น โดยใช้มือขยุ้มจำนวนพอประมาณไปปล่อยทิ้งไว้บนต้นไม้ เช่น ต้นมะเขือพริกประมาณ 2-3 อาทิตย์ต้น “ฝอยทอง” จะแตกกระจายคลุมต้นมะเขือและต้นพริกเต็มไปหมด มีชื่อเรียกอีกคือ เครือเขาคำ (ภาคเหนือ) ผักไหม (อุดรฯ) และ ฝอยไหม (โคราช) ครับ.“นายเกษตร”