ผมอึดอัดคับข้องกับข่าวการช่วย 13 ชีวิตติดถ้ำหลวง ตั้งใจผ่อนคลาย หาหนังสือสักเล่มอ่านนิยายแปลงพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา สุจิตต์ วงษ์เทศ ตั้งชื่อว่า “กรุงแตก ยศล่มแล้ว” (สำนักพิมพ์นาตาแฮก พ.ศ.2561) อยู่ใกล้มือ เคยอ่านแล้วก็อ่านอีก สะดุดกึก ตอนที่ 90 น้ำไล่ศึกฉากนี้อยู่ท่าสิบเบี้ย ท่าน้ำขึ้นลงเรือจ้างตรงท่าช้างวังหลวง ข้ามออกจากกรุงไปวัดศรีโพธิ์นอกเกาะทางทิศเหนือ การสนทนาของชาวบ้าน ถึงเหตุการณ์บ้านเมืองข่าวใหญ่เวลานั้น กำปั่นฝรั่งหนีไปแล้ว ทิ้งผ้ามัดไว้สี่สิบมัดอยู่พระคลังสินค้าหลวงต่อปากกันไปไม่กี่คำ กลายเป็นเรื่องตีฝีปากกระทบกัน “ใครนินทา เป็นหมาขี้เรื้อน” ยายเฒ่าพึมพัม “ถ้าไม่นินทาเป็นอะไรดีล่ะแม่เฒ่า” นางข้าหลวงพูดพลางบ้วนน้ำหมาก “ไม่นินทาเป็นหมาวัด มีข้าวกิน ไม่ต้องกินขี้”“ไม่มีใครให้หมากินข้าววัดหรอกอีบ้า อีพวกนังข้าหลวงจะรู้ประสาอะไร” แม่เฒ่าเยาะเย้ย “ข้าวเอาไว้ให้คนกิน แต่หมาบ้านกินน้ำข้าวเว้ย”“หมากินน้ำข้าวจากเช็ดน้ำหม้อข้าว” ทหารหลวงพวกหนึ่ง ข้ามฟากจากฝั่งโน้นมาขึ้นท่าสิบเบี้ยพอดี “แต่อังวะข้าศึกกินน้ำท่วมข้าวในนาข้าว จนอืดเป็นหมาเน่าลอยน้ำ”“น้ำลดแล้ว พวกข้าศึกก็ยกเข้ามากรุงได้” พ่อเฒ่าได้ยินทหารหลวงพูด ก็ตะโกนบอกไป “กว่าจะยกมา น้ำก็มาถึงกรุงท่วมอีก ไม่เห็นหรือเพิ่งท่วมไปหยกๆ แล้วศึกไหนมันจะอยู่ให้น้ำท่วม”ทหารหลวงพูดอย่างทรนงองอาจ แล้วเดินออกจากท่าสิบเบี้ยไปทางประตูวังหลวงคืนนั้นบรรดาเจ้านายกับขุนนางอำมาตย์ใหญ่ ขึ้นเฝ้าพร้อมหน้ากัน มีข่าวศึกมาตีบ้านเล็กเมืองน้อยไม่เว้น ข้างใต้กรุงลงไปทางเมืองบางกอกกับเมืองนนทบุรีเจ้ากรมพระนครบาล ถวายบังคมทูลเรื่องกล้าทหารกับไพร่พลเมืองที่เข้ามาอยู่ในกำแพงพระนคร กับข้าวปลาอาหารจำนวนมาก พอเพียงเลี้ยงได้พระเจ้าเอกทัศให้เอาปืนใหญ่น้อย ขึ้นรักษาไว้ตามเชิงเทิน แลป้อมกำแพงเมืองทุกช่อง แล้วให้ลงขวากช้างขวากม้าและบังเพลิง จนถึงอาวุธต่างๆ ไว้รอบพระมหานครสมุหกลาโหม สมุหนายก กราบทูลปรึกษา จะยกไปตี (พม่า) ทางทิศเหนือหรือทิศใต้อำมาตย์ขุนนางพวกหนึ่ง เห็นว่าถ้ายกไปตีศึกหลายทาง ก็เท่ากับกระจายกำลังเป็นกองทัพย่อย ถึงยกออกไปจะถูกตีต้านกลับเข้ามา เหมือนที่พากันแม้พ่ายหลายหนเจ้าอาทิตย์บอกว่า ทหารพวกนั้นไม่มีแรงรบ เพราะมัวแต่ดูแลกิจการพระคลังหลวง อาจไปถึงตายคาสนามรบ ถ้าคัดเลือกนายทัพได้ ยิ่งไปตามเจ้านายมีฝีมือมาอยู่รักษาตีรบจากข้างนอกสมทบด้วย ก็ ยิ่งดีวิเศษเจ้านายมีฝีมือ คือเจ้าแขกกรมหมื่นเทพพิพิธ มีคนกลัวจะเกิดศึกข้างในยึดอำนาจซ้อน พระเจ้าเอกทัศได้ยินก็ไม่พอพระทัย เรียกมหาดเล็กเชิญพระแสงขรรค์ชัยศรีมาไว้ตรงข้างขวา พลางเชิญเอามาพาดพระเพลา แล้วจับไว้มั่นแล้วตรัสด้วยพระสุรเสียงก้องดังว่า รักษาให้มั่นคงไว้แต่ข้างใน เมืองนี้มีเทวดาคุ้มครอง ไม่มีใครเอาชนะได้รอให้ฝนลงมา น้ำจะท่วมรอบพระนครดุจมหาสมุทรสีทันดร กองทัพข้าศึกจะถอยกลับไปเอง ถ้าไม่ถอยก็น้ำท่วมตาย จระเข้เหราพากันฟัดเจ้าอาทิตย์ได้แต่ก้มหน้าหมอบนิ่ง รู้ดีว่าขืนท้วงติงจะได้ถูกอาญาหลวงดาบอาญาสิทธิ์ถึงตายประวัติศาสตร์อยุธยาจบลง ตรงพม่าสุมกำแพงพระนครศรีอยุธยา ตีหักเข้ายึดเมือง น้ำที่หวังว่าจะเป็นปาฏิหาริย์ป้องกันเมือง ช่วยอะไรไม่ได้เลยอ่าน “กรุงแตก ยศล่มแล้ว” ถึงตอนนี้ ผมก็ยิ่งเศร้า น้ำในสมัยอยุธยา ผู้นำตั้งใจใช้ไล่ศึก แต่น้ำในสมัย 13 ชีวิตเด็กๆติดถ้ำ กลายเป็นศึกไล่น้ำ ต้องระดมทุกสรรพกำลัง เอาชนะน้ำให้ได้โดยสถานเดียว.กิเลน ประลองเชิง