เชื่อว่าเมื่อพูดถึง “ซีสต์” หรือถุงน้ำ ผู้หญิงหลายนอกจากจะเคยได้ยินแล้ว ยังอาจผ่านประสบการณ์การมีซีสต์ในร่างกายมาแทบทั้งนั้นแต่สำหรับ เดอร์มอยด์ ซีสต์ (Dermoid Cyst) หรือ โรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีความสามารถในการพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ โดยอยู่ที่บริเวณรังไข่ของผู้หญิงตั้งแต่แรกเกิด แล้วมีการพัฒนาหรือถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยบางอย่างให้เจริญไปเป็นเซลล์ไขมัน เส้นผม กระดูกอ่อน หรือฟัน จนเกิดเป็นถุงน้ำที่รังไข่เรียกว่า เดอร์มอยด์ ซีสต์พญ.รุ่งทิวา กมลเดชเดชา สูตินรีแพทย์ สาขาเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ด้านการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ อธิบายว่า โรคถุงน้ำรังไข่ชนิดนี้ เป็นโรคถุงน้ำที่พบได้บ่อยๆในผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอายุ 10-30 ปี พบได้ประมาณ 20-25% ของโรคถุงน้ำรังไข่ทั้งหมด โดยส่วนใหญ่ไม่ใช่มะเร็ง และมักจะไม่มีอาการใดๆเลย อย่างไรก็ตาม ถุงน้ำรังไข่ชนิดนี้พบได้แม้อายุยังน้อย ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ หรือแม้กระทั่งเด็กผู้หญิงที่ยังไม่มีประจำเดือน ก็สามารถพบโรคนี้ได้ “โรคนี้จะไม่แสดงอาการใดๆเลย ไม่ปวดประจำเดือน ไม่มีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด จนกว่าจะเกิดภาวะแทรกซ้อนจากถุงน้ำ เช่น แตก รั่ว หรือบิดขั้ว” คุณหมอรุ่งทิวาบอก พร้อมกับให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ที่น่ากังวล คือ หากคนไข้ไม่เข้าใจหรือไม่รู้ตัว ปล่อยให้มีอาการแทรกซ้อนจากรังไข่บิดขั้วจนเกิดภาวะที่รังไข่ขาดเลือดไปเลี้ยงเป็นเวลานานๆ อาจทำให้รังไข่เน่า ถึงขั้นต้องตัดรังไข่ทิ้งในที่สุดสูตินรีแพทย์ สาขาเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ บอกอีกว่า ภาวะแทรกซ้อนของโรคถุงน้ำเดอร์มอยด์มีหลายอย่าง ที่พบมากที่สุด คือ บิดขั้ว (Torsion) คนไข้จะมีอาการปวดบริเวณท้องน้อยด้านซ้ายหรือขวา กดเจ็บบริเวณท้องน้อย คลื่นไส้ อาเจียน หรืออาจมีไข้ต่ำๆได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดฉุกเฉินจะทำให้รังไข่ข้างนั้นๆ ขาดเลือดไปเลี้ยงเป็น เวลานาน ส่งผลให้รังไข่เน่า จำเป็นต้องตัดรังไข่ข้างนั้นทิ้งในที่สุดคุณหมอรุ่งทิวา อธิบายต่อว่า อีกภาวะหนึ่ง คือ แตกหรือรั่ว (Rupture or Leakage) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้กับโรคถุงน้ำรังไข่ทุกชนิด รวมทั้ง โรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ (Dermoid Cyst) คนไข้จะมีอาการปวดท้องน้อยฉับพลัน ปวดตลอดเวลา ซึ่งถ้ามีเลือดออกในช่องท้องจำนวนมาก อาจทำให้เกิดภาวะช็อกได้ ภาวะแทรกซ้อนอีกภาวะหนึ่ง คือ การติดเชื้อ (Infection) แม้จะเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ไม่บ่อยนัก แต่ก็ทำให้เกิดอาการรุนแรงได้ คนไข้จะมีอาการไข้สูง ร่วมกับการปวดท้องน้อยที่รุนแรง และสุดท้าย คือ มะเร็ง (Cancer)“ถุงน้ำรังไข่ชนิดนี้แม้ส่วนใหญ่จะไม่ใช่มะเร็ง แต่ก็มีโอกาสเป็นมะเร็งได้ประมาณ 1% โดยไม่จำเป็นต้องพบในคนอายุมากเท่านั้น เป็นมะเร็งที่พบในคนอายุน้อยได้ วิธีการตรวจให้ทราบได้ คือการผ่าตัดเท่านั้น การอัลตราซาวนด์บอกได้เพียงว่ามีถุงน้ำที่รังไข่ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่ามีเซลล์มะเร็งหรือไม่”สำหรับวิธีการรักษา โรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ สูตินรีแพทย์ สาขาเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ บอกว่า วิธีการรักษาโรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ (Dermoid Cyst) ทำได้โดยการผ่าตัดเท่านั้น การผ่าตัดถือเป็นการวินิจฉัย และรักษาโรคนี้ที่ดีที่สุด เพราะโรคนี้ไม่สามารถทำให้เล็กลงด้วยยาหรือฮอร์โมนใดๆ ต่างจากภาวะการมีช็อกโกแลตซีสต์ที่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาฮอร์โมนการผ่าตัดรักษาโรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ คุณหมอรุ่งทิวา ให้ข้อมูลว่า มีหลายแบบ เริ่มจากผ่าตัดเลาะเฉพาะถุงน้ำ (Ovarian Cystectomy) โดยจะทำในกรณีที่ยังไม่มีรังไข่เน่า จากภาวะแทรกซ้อนจากรังไข่บิดขั้ว และถุงน้ำมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ดังนั้นการตรวจพบถุงน้ำรังไข่ก่อนที่จะมีขนาดใหญ่จนเกิดภาวะแทรกซ้อนจึงเป็นการดีที่สุด เพราะการผ่าตัดในขณะที่ขนาดถุงน้ำรังไข่มีขนาดเล็กนั้นทำได้ง่ายกว่า และสูญเสียเนื้อรังไข่น้อยกว่า ส่งผลดีในกรณีที่คนไข้อายุยังน้อย และมีความต้องการมีบุตร ในอนาคต คุณหมอรุ่งทิวา บอกด้วยว่า การผ่าตัดรังไข่ข้างที่มีปัญหานั้น (Unilateral Oophorectomy) จะทำในกรณีที่มีภาวะรังไข่เน่าจากการที่รังไข่บิดขั้ว ทำให้รังไข่ขาดเลือดไปเลี้ยงเป็นเวลานาน กรณีที่ถุงน้ำมีขนาดใหญ่มากๆ ไม่มีเนื้อ รังไข่ส่วนที่ดีเหลืออยู่ และรังไข่อีกข้างดูปกติดี เพราะการเหลือรังไข่ 1 ข้าง เพียงพอสำหรับการผลิตฮอร์โมนเพศหญิงได้ หรือกรณีที่อายุมากๆ อาจต้องส่งตรวจเพื่อค้นหาเซลล์มะเร็งร่วมด้วย“การผ่าตัดรักษาโรคถุงน้ำเดอร์มอยด์ทำได้ทั้งแบบเปิดหน้าท้องและแบบไม่เปิดหน้าท้อง แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์สามารถผ่าตัดแบบไม่เปิดหน้าท้อง ที่เรียกว่า Minimal Invasive Surgery หรือ MIS เป็นการผ่าตัดผ่านกล้องโดยแพทย์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดผ่านกล้อง ข้อดีของการผ่าตัดวิธีนี้ คือ มีแผลขนาดเล็กเพียง 5-10 มิลลิเมตร คนไข้เจ็บแผลน้อยกว่า ฟื้นตัว และกลับไปทำงานได้เร็วกว่า” สูตินรีแพทย์ สาขาเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ บอกและว่า การผ่าตัดผ่านกล้องช่วยให้การทำผ่าตัดง่ายขึ้น มีความปลอดภัยสูง ภาวะแทรกซ้อนต่ำ ลดการอักเสบติดเชื้อของแผลได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังลดการเกิดพังผืดในช่องท้องภายหลังการผ่าตัด เมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องด้วย อย่างไรก็ตาม แม้จะรักษาด้วยการผ่าตัดแล้ว และผลการตรวจชิ้นเนื้อภายหลังการผ่าตัดจะไม่ใช่มะเร็งก็ตาม แต่ก็มีเหมือนกันที่พบว่าประมาณ 10% ของผู้ป่วยที่ผ่าตัดรักษาไปแล้วที่รังไข่ข้างหนึ่ง อาจจะเกิดเดอร์มอยด์ ซีสต์ ซ้ำกับรังไข่อีกข้างได้คุณหมอรุ่งทิวา แนะนำว่า การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การตรวจภายในและอัลตราซาวนด์ เพื่อตรวจดูมดลูกและรังไข่เป็นประจำทุกปี เพราะหากถุงน้ำมีขนาดใหญ่ขึ้นจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงขั้นต้องถูกตัดรังไข่ได้ และหากภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ การผ่าตัดขณะตั้งครรภ์ก็เพิ่มความเสี่ยงของการแท้งบุตร หรือการคลอดก่อนกำหนดได้อีกด้วย.