บุหรี่แพง ...เลิกสูบบุหรี่กันเถอะ! ว่าแล้วสิงห์อมควันก็หันมาสูบยาเส้นแทน แล้วแบบนี้ต่อให้ช่วยกันรณรงค์เลิกสูบบุหรี่กันมากแค่ไหน สังคมไร้ควันก็จะยังไม่ปรากฏในประเทศไทยถ้าปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปแบบนี้ แม้รัฐบาลจะมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีบาปเพิ่มขึ้นนับหมื่นล้านบาทจากบุหรี่โดยเฉลี่ยและรายได้จากภาษีสรรพสามิตยาสูบอยู่ที่ประมาณ 60,000 กว่าล้านบาทก็คงไม่พอ“ภาษีบาป” ส่วนใหญ่จัดเก็บจากบุหรี่มวนสำเร็จ ในขณะที่ยาเส้นมีการเก็บภาษีที่ต่ำมากประมาณ 0.005 บาทต่อกรัม ตามที่กฎกระทรวง กำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 ได้ระบุไว้เมื่อมาดูตัวเลขสัดส่วนผู้ใช้ยาเส้นในประเทศไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยมีจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งคือ ราว 5-6 ล้านคนของผู้สูบบุหรี่ทั้งหมดที่มีกว่า 11 ล้านคนทั่วประเทศ รัฐบาลคงต้องเตรียมเพิ่มงบประมาณอีกหลายหมื่นล้านบาทให้กับโรงพยาบาลทั่วประเทศด้วยเพื่อการดูแลรักษาผู้ป่วยด้วยโรคที่เกิดจากการสูบเรามาดูกันว่ามีปัจจัยใดที่ทำให้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น?หนึ่ง...“ราคา” ปัจจุบันแม้ยาเส้นจะถูกควบคุมโดยกฎหมายฉบับเดียวกันกับบุหรี่ แต่ราคายาเส้นในท้องตลาดถูกกว่าบุหรี่หลายเท่าตัวนับจากการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ปีที่ผ่านมา ราคาบุหรี่ซองขึ้นสูงไปช่วง 60-125 บาท ในขณะที่ยาเส้นยังคงมีราคาประมาณ 10-15 บาทเท่านั้น จึงเป็นจุดจูงใจให้บรรดาสิงห์อมควันหันมาสูบยาเส้นมวนเองมากขึ้น มาตรการภาษีที่คาดว่าจะลดจำนวนผู้สูบอาจกลายเป็นปัจจัยทำให้เกิดการย้ายตลาดการบริโภคผลิตภัณฑ์ยาสูบจากตลาดหนึ่งไปอีกตลาดหนึ่งมากกว่าการลดจำนวนผู้สูบได้จริงสอง...ความเชื่อผิดๆว่า ยาเส้นอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ คนไทยตระหนักถึงพิษร้ายของยาเส้นน้อยเกินไป เพราะคิดว่ายาเส้นมาจากธรรมชาติไม่มีการใส่สารปรุงแต่งที่เป็นอันตราย ทั้งที่ในความเป็นจริง ยาเส้นก็คือใบยาสูบชนิดเดียวกับที่ใช้ผลิตบุหรี่ แต่ระบบการปลูก หรือผลิตไม่มีการควบคุม หรือวัดค่าของสารพิษตกค้างไม่เหมือนกับชาวไร่ที่อยู่ในระบบ ซึ่งโดยมากส่งใบยาขายให้รัฐ หรือต่างประเทศ ก็จะต้องผ่านกระบวนการควบคุมมาตรฐานการผลิต แต่กระบวนการปลูกและผลิตยาเส้นนี้ยังไม่มีระบบการควบคุมหรือตรวจสอบที่ชัดเจน ส่วนใหญ่ชาวไร่จะปลูกและอัดฉีดพ่นยาฆ่าแมลงเกินกว่าที่มีการแนะนำให้ใช้ เพื่อให้ได้ผลผลิตจำนวนมากสามารถส่งขายเข้าโรงบ่มได้ราคาดีข้อมูลเรื่องสารพิษจากควันยาสูบจากศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ระบุว่า ในควันยาสูบมีสารเคมีกว่า 4,000 ชนิด เป็นสารพิษมากกว่า 250 ชนิด และกว่า 50 ชนิดเป็นสารก่อมะเร็งเมื่อสูดดมเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เซลล์ในร่างกายเปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็งและส่งผลเสียต่อสุขภาพอีกมากมาย เช่น นิโคติน แม้จะเป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในใบยาสูบ แต่ถ้าได้รับมากเกินไปทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบตัน ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว เพิ่มไขมันในเส้นเลือด ทำลายเนื้อปอดและถุงลมปอด“ทาร์”...ทำให้เกิดมะเร็งปอด ถุงลมโป่งพอง ไอเรื้อรัง หอบเหนื่อย คาร์บอนมอนอกไซด์ ทำให้หัวใจและร่างกายส่วนอื่นๆได้รับออกซิเจนน้อย หรือขาดออกซิเจน ทำให้เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย มึนงง และเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ ไฮโดรเจนไซยาไนด์ ทำลายเยื่อบุหลอดลม ทำให้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ไนโตรเจนไดออกไซด์ เป็นก๊าซพิษที่ทำลายเยื่อบุหลอดลมส่วนปลายและถุงลม แอมโมเนีย ทำให้หลอดลมอักเสบ ระคายเคืองสารกัมมันตรังสี ทำให้เกิดมะเร็งปอดและมะเร็งระบบทางเดินหายใจ แร่ธาตุต่างๆ เป็นสารตกค้างในใบยาสูบจากยาฆ่าแมลงเป็นพิษต่อร่างกาย ก่อเกิดมะเร็งส่วนผู้ที่ไม่ได้สูบแต่ได้รับควันจากการสูบ หรือที่เรียกกันว่า “ควันมือสอง”...ควันยาสูบจะส่งผลต่อระบบประสาท ระบบเลือด ระบบทางเดินหายใจและทรวงอก ดังนั้น ควันยาเส้นจึงมีอันตรายเหมือนกับควันบุหรี่ นำพาโรคทั้งหลายมาให้ด้วยเช่นกัน ทั้งมะเร็งปอด ถุงลมโป่งพอง โรคปอด โรคหัวใจ และหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่คนไทยป่วยตายในอันดับต้นๆเลยทีเดียว“ยาเส้น...มัจจุราชที่ถูกลืม?”...เรามัวแต่สนใจการรณรงค์ให้คนเลิกสูบบุหรี่ โดยลืมไปว่า ยาเส้นก็เป็นผลิตภัณฑ์ยาสูบที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของเราไม่ต่างจากบุหรี่ หลายปีก่อน (2555) มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เคยรณรงค์เรื่องอันตรายยาเส้นด้วยแคมเปญ ยาเส้นอันตรายตายเหมือนบุหรี่มีการทำคลิปโฆษณาเผยแพร่ในโทรทัศน์และยูทูบ (https://bit.ly/ 2FCOhQZ) ให้บรรดาสิงห์อมควันและสังคมได้ตระหนักถึงอันตรายที่เหมือนกันของผลิตภัณฑ์ยาสูบทั้งสองประเภทนี้ แต่ทว่า...กระแสการรับรู้และตระหนักว่า ยาเส้นอันตรายเหมือนบุหรี่ได้จางหายไปตามกาลเวลามาจนถึงปัจจุบันอาจเพราะสังคมไปเพ่งมองเฉพาะอันตรายจากบุหรี่และร่วมมือกันเพื่อลดจำนวนผู้สูบและป้องกันไม่ให้มีนักสูบหน้าใหม่เพิ่มขึ้น ลองดูสถิติข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานโดยมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ จะเห็นว่า จำนวนผู้สูบค่อยๆลดลงจากปี 2534-2557 จาก 12.2 ล้านคน มาอยู่ที่ 11.4 ล้านคนและคุณรู้หรือไม่ว่า...เกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้คือจำนวนผู้สูบยาเส้นนั่น...อาจประเมินได้ว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคที่เกิดจากการสูบเป็นคนที่สูบ “ยาเส้น”น่าสนใจว่าในปี 2560 มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ได้เปิดเผยผลการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลก (WHO) ทำให้ประมาณการได้ว่า มีคนไทยอย่างน้อย 1 ล้านคนที่ยังมีชีวิตอยู่และป่วยหรือพิการด้วยโรคเรื้อรังร้ายแรงจากการสูบ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง โรคถุงลมโป่งพอง และโรคเรื้อรังอื่นๆ ที่รักษาไม่หายขาด และมีค่ารักษาพยาบาลแพงผู้ป่วยเหล่านี้มีความทุกข์ทรมานและเป็นภาระต่อครอบครัว เป็นภาระต่อการบริการของโรงพยาบาล และเป็นภาระต่องบประมาณด้านสาธารณสุขให้แก่รัฐบาล เนื่องจากผู้สูบบุหรี่ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ต้องใช้บริการ 30 บาทรักษาทุกโรค หรือไม่ก็สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการคำถามสำคัญมีว่า...จะแก้ยังไง? เมื่อราคายิ่งถูก คนยิ่งสูบศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ได้กล่าวผ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐในคอลัมน์สารพันปัญหา ตอบข้อข้องใจของประชาชนเรื่องการสูบยาเส้น ที่เริ่มแพร่หลายมากขึ้นในปัจจุบัน พร้อมย้ำให้เห็นโทษภัยของการสูบยาเส้นที่ไม่แตกต่างจากการสูบบุหรี่ ด้วยข้อมูลการสำรวจในปี 2557 พบว่า มีคนไทยสูบยาเส้น 4.2 ล้านคน สูบบุหรี่ 5.2 ล้านคน และสูบทั้งสองอย่าง 1.8 ล้านคน ...ค่าใช้จ่ายบุหรี่ซองต่อเดือนเท่ากับ 639.5 บาทต่อคน ขณะที่ค่าใช้จ่ายสูบยาเส้น 86.5 บาทต่อคน ซึ่งต่างกันถึง 7 เท่าการขึ้นภาษีผลิตภัณฑ์ยาสูบเมื่อปลายปี 2560 ส่งผลให้ราคาบุหรี่แพงขึ้นจากซองละ 40 บาทเป็น 60 บาทสำหรับยี่ห้อที่ถูกที่สุด แต่ “ยาเส้น” แทบไม่ได้รับผลกระทบด้านราคาจากการจัดระบบภาษีที่ผิดหลักการนี้ โดยยังคงขายกันซองละ 5-12 บาท...ฝากไปถึงรัฐบาลให้ดำเนินการแก้ไขเรื่อง “ภาษียาเส้น” ให้มีราคาแพงขึ้น ซึ่งจะเป็นกลไกหนึ่งที่จะช่วยลดจำนวนผู้สูบลงได้ เนื่องใน “วันงดสูบบุหรี่โลก” ในปีนี้ เราเชื่อว่าทั้งโลกและประเทศไทยจะยังรณรงค์ให้ผู้คนเลิกสูบบุหรี่อยู่ต่อไป ตอกย้ำอันตรายที่มีต่อสุขภาพผู้สูบ ครอบครัว คนรอบข้างถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเปลี่ยนให้วันที่ 31 พ.ค.ของทุกปีเป็น “วันงดสูบบุหรี่และยาเส้นโลก” เพื่อให้คนไทยได้ตระหนักถึงอันตรายจากควันยาสูบ ช่วยกันรณรงค์ลด...เลิกสูบกันเสียที เพื่อสังคมไร้ควัน.