มีโอกาสจับเข่าคุยกับ จันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เรื่องช่องทางการค้าขายสินค้าเกษตรในตลาดอินเดีย ทำให้รู้ข้อมูล ปัจจุบันนี้ประชากรในอินเดียเปลี่ยนแปลงไปมากคนหนุ่มสาวเจเนอเรชันใหม่ เริ่มมาเป็นผู้ประกอบการมากขึ้น วิธีคิด ไลฟ์สไตล์ ค่านิยม เปลี่ยนเป็นสากลขึ้น ส่วนหนึ่งจากคนรุ่นใหม่ได้รับการศึกษาจากต่างประเทศแล้วกลับไปทำธุรกิจในบ้านเกิด จนคนรุ่นนี้เรียกตัวเอง “นิวอินเดีย”ด้วยประชากรกว่า 1,200 ล้านคน เป็นรองจากจีน เศรษฐกิจในประเทศเริ่มมั่นคง กำลังซื้อมีค่อนข้างสูง เลยเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าจีนสำหรับสินค้าเกษตรไทย...มะม่วงคงเป็นพืชชนิดเดียวที่อินเดียไม่ต้องการ เพราะปลูกเยอะมาก มีสายพันธุ์หลากหลายกว่าเรา...จนทำให้คนอินเดียเข้าใจผิด คิดว่าผลไม้บนโลกใบนี้น่าจะมีรสเปรี้ยวรสเดียวด้วยเหตุผลนี้ เวลาคนอินเดียมาเที่ยวบ้านเรา และได้ชิมผลไม้ต่างติดอกติดใจในรสชาติ โดยเฉพาะผลไม้รสหวาน อย่าง ลำไย แก้วมังกร มะขามหวาน เลยส่งผลให้ผลไม้แปรรูปพลอยเนื้อหอมไปด้วยโดยภาพรวมแล้ว ผลไม้ไทยคงมีตลาดใหญ่อีกตลาดรองรับ ยิ่งบวกกับคนอินเดียเชื่อมั่นในมาตรฐานสินค้าแทบทุกชนิดของไทย หลังเคยเจ็บช้ำกับสินค้าราคาถูกจากจีนมาแล้ว ยิ่งน่าจะเสริมให้สินค้าไทยไปรุ่งยิ่งขึ้นที่สำคัญ คนอินเดียชอบของสด โดยเฉพาะผลไม้ถือเป็นสินค้าหรูคู่ครัวผู้มีอันจะกิน ส่วนใหญ่จะไปหาซื้อตามร้าน Reliance Retail ร้านค้าปลีกใหญ่ที่สุดของอินเดีย มีทั้งค้าปลีก ส่ง ตลาดสินค้าออนไลน์ มีสาขากว่า 3,700 ร้าน ใน 750 เมืองทั่วประเทศสุดท้าย ไม่ว่าค้าขายกันแบบดีลตรง หรือออนไลน์ ล้วนต้องมีเรื่องของภาษีมาเอี่ยว ฉะนั้นจะขายได้มากน้อย ขึ้นกับมาตรการทางภาษีของรัฐบาล 2 ประเทศ ที่จะเปิดช่องเจรจาให้เอื้อต่อกันได้แค่ไหนไม่ใช่นั่งฝัน เกษตรกรไทยเอารูปไปแปะโพสต์ในตลาดออนไลน์ แล้วการค้าขายจะลื่นปรี๊ด เหมือนค้าขายในประเทศ.สะ–เล–เต