เมื่อไม่นานมานี้ บรรดากลุ่มอนุรักษ์ที่วิเคราะห์สถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ได้รายงานในวารสารวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่า มนุษย์ต้องพยายามที่จะรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกให้น้อยลงที่สุด หลังจากพบว่าสถานที่ 33 แห่งที่เรียกว่า “Priority Places” อันเป็นแหล่งรวมพันธุ์พืชและสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ประจำถิ่นที่ใกล้สูญพันธุ์ อาจกำลังถูกภาวะโลกร้อนเล่นงานนักวิจัยได้ประมาณการจากอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส ซึ่งเทียบกับระดับอุณหภูมิในช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม พบว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจเป็นสาเหตุของการสูญเสียสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตประมาณ 25-50% โดยกระทบกับพืชเกือบ 80,000 ชนิด รวมถึงสัตว์บก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์เลื้อยคลาน และพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพที่จะได้รับผลร้าย เช่น แถบป่าอะเมซอน, เกาะมาดากัสการ์, ภาคใต้ของประเทศชิลี, ฝั่งตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัย, ทุ่งพืชเฟนโบสในแอฟริกาใต้, เกาะบอร์เนียว, เกาะสุมาตรา,ทะเลทรายนามิเบีย, แอฟริกาตะวันตก, ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย, ชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกา และป่าทางภาคใต้ของแอฟริกาที่เป็นถิ่นของสุนัขป่าแอฟริกา ฯลฯทั้งนี้ หนึ่งในหนทางแก้ปัญหาที่นักอนุรักษ์เสนอก็คือการลดหรือหยุดใช้พลังงานจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหรือถ่านหิน เพราะการสูญพันธุ์ไม่ได้เป็นเพียงแค่การหายตัวไปของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งต่อระบบนิเวศที่เชื่อมโยงชีวิตของมนุษย์ทุกคนบนโลก.