พลิกท่าเรือประวัติศาสตร์สู่แหล่งท่องเที่ยวระดับโลกถ้ามีโอกาสล่องเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยาชมความสวยงามของ 2 ฝั่งน้ำ จะต้องสังเกตเห็นพื้นที่เก่าแก่ของตระกูล “หวั่งหลี” ที่หลับใหลอยู่เป็นเวลานาน “ท่าเรือฮวย จุ่ง ล้ง” แลนด์มาร์คประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นจุดเชื่อมความสัมพันธ์การค้าไทย-จีนในยุครุ่งเรืองที่สุด ได้ถูกปลุกชีพขึ้นมาอีกครั้ง โดยฝีมือ “มาดามเปี๊ยะ-รุจิราภรณ์ หวั่งหลี” สะใภ้คนเก่งตระกูลหวั่งหลี เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมแห่งใหม่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ภายใต้ชื่อ “ล้ง 1919” (LHONG 1919) “พูดถึงยุคทองของการค้าไทย-จีน ต้องมองย้อนกลับไปในสมัยรัชกาลที่ 4 เพราะหลังจากมีการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง ซึ่งมีสาระสำคัญในการเปิดฉากการค้าเสรีกับต่าง ประเทศในสยาม ตั้งแต่นั้นมาพ่อค้าต่างชาติก็เข้ามาติดต่อค้าขายในประเทศไทยได้อย่างอิสระ เมื่อมีการเปิดเมืองท่า “พระยาพิศาลศุภผล” (ชื่น พิศาลบุตร) ซึ่งเป็นคนจีนที่เกิด บนแผ่นดินสยาม และบรรพบุรุษเข้ามาค้าขายตั้งรกรากในสยามตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ ได้ริเริ่มลงทุนสร้างเรือกลไฟ เป็นเรือโดยสารและบรรทุกสินค้า พร้อมกับสร้างท่าเรือกลไฟ “ฮวย จุ่ง ล้ง” ในปี พ.ศ.2393 บนพื้นที่กว่า 6 ไร่ ตั้งอยู่สุดถนนเชียงใหม่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี สำหรับให้ชาวจีนที่โล้สำเภาจากเมืองจีนมาค้าขาย หรือย้ายถิ่นฐานมาตั้ง รกรากในไทย ได้มาเทียบเรือและลงทะเบียนชาวจีนแผ่นดิน ใหญ่”...ผู้ปลุกปั้นโครงการ “ล้ง 1919” บอกเล่าถึงตำนานเก่าแก่ในอดีต ในยุคเฟื่องฟูสุดๆ ท่าเรือแห่งนี้มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์การค้าไทย-จีน ขนาดไหนในปลายสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงต้นรัชกาลที่ 5 “ท่าเรือฮวย จุ่ง ล้ง” เป็นแหล่งค้าขายทำธุรกิจที่คึกคักที่สุดระหว่างชาวไทยกับชาวจีน ในขณะที่ท่าเรืออีสต์เอเชียติกเป็นท่าเทียบเรือของฝรั่ง ท่าเรือกลไฟสุรวงศ์เป็นท่าเทียบเรือของญี่ปุ่น ท่าเรือกลไฟ “ฮวย จุ่ง ล้ง” ก็เป็นท่าเรือที่ชาวจีนโพ้นทะเลทุกคนในยุคเสื่อผืนหมอนใบจะต้องมาขึ้นที่นี่ เรียกว่าเป็นต้นกำเนิดของเจ้าสัวที่เข้ามาเมืองไทยในยุคนั้น ในสมัยที่ท่าเรือแห่งนี้รุ่งเรืองที่สุด ตัวอาคารท่าเรือขนาด 6,800 ตารางเมตร ถูกใช้เป็นร้านค้า โชว์รูม และโกดังเก็บสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ เช่น จีน, สิงคโปร์ และฮ่องกง “ฮวย จุ่ง ล้ง” ตกทอดเป็นมรดกของตระกูลหวั่งหลีได้อย่างไรเมื่อท่าเรือแห่งประเทศไทย (ท่าเรือคลองเตย) เข้ามามีบทบาทในการค้ากับต่างชาติมากขึ้น ส่งผลให้ท่าเรือ “ฮวย จุ่ง ล้ง” ค่อยๆลดบทบาทลง กระทั่งในปี 2462 (ค.ศ.1919) หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง “นายตัน ลิบ บ๊วย” ทายาทตระกูลหวั่งหลี ได้เข้ามารับช่วงเป็นเจ้าของต่อจากตระกูลพิศาลบุตร และปรับปรุงท่าเรือแห่งนี้ให้กลายเป็นอาคารสำนักงาน และโกดังเก็บสินค้าการเกษตรของตระกูลหวั่งหลี ขณะเดียวกัน ท่าเรือแห่งนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของหลงจู๊และคนงานนับร้อยชีวิต คนยุคหลังรู้จักท่าเรือแห่งนี้ในนามโกดังบ้านหวั่งหลี อะไรดลใจให้ “คุณเปี๊ยะ” ลุกขึ้นบูรณะท่าเรือเก่าแห่งนี้ให้มีชีวิตอีกครั้งพอได้มาเห็นท่าเรือเก่าแห่งนี้ รู้สึกถึงมนต์ขลังบางอย่าง จึงไปคุยกับผู้ใหญ่ในตระกูลหวั่งหลีว่า “ฮวย จุ่ง ล้ง” มีคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์มาก นอกจาก จะเป็นมรดกของบรรพบุรุษที่ลูกหลานมีหน้าที่ต้องดูแลให้ดีที่สุดแล้ว ที่นี่ยังเป็นเสมือนมรดกของชาติที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์ ที่สำคัญท่าเรือแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของ “ศาลเจ้าแม่หม่าโจ้ว” (คลองสาน) อายุเก่าแก่กว่า 167 ปี ซึ่งอยู่คู่ “ฮวย จุ่ง ล้ง” ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนปัจจุบัน ทำจากไม้ มี 3 ปาง ปาง แรกคือปางเด็กสาว ให้พรด้านการ ขอบุตร ปางที่สองคือปางผู้ใหญ่ ให้พรด้านการค้าขายเงินทอง และ ปางที่สามคือปางผู้สูงอายุ ซึ่งเชื่อว่า ท่านประทับอยู่บนสวรรค์ และมีเมตตาจิตสูง ซึ่งทั้ง 3 ปางนี้เป็นองค์ที่ชาวจีนนำขึ้นเรือเดินทางมาจากเมืองจีน เมื่อมาถึง เมืองไทยได้อัญเชิญประดิษฐานไว้ที่ศาล แห่งนี้ เวลาคนจีนโพ้นทะเลเดินทางมาถึงฝั่งไทย ก็จะ ต้องมากราบสักการะ เพื่อขอบคุณที่ช่วยให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ เจ้าแม่หม่าโจ้วจึงเป็นศูนย์ รวมจิตใจของคนจีนในแผ่นดิน ไทย ซึ่งคนจีนที่ทำ การค้าในไทยจนร่ำรวยก็ล้วนก่อร่าง สร้างตัวจากที่นี่ ตอนเข้ามาท่าเรือแห่งนี้ สิ่งแรกที่สะดุดตาคืออะไรนอกจากความโดดเด่นของรูปแบบสถาปัตยกรรม ที่สร้างไว้เป็นหมู่อาคารแบบ “ซาน เหอ หยวน” ในสไตล์จีนโบราณ ตัวอาคารก่ออิฐถือปูน พื้น สร้างจากไม้ หลังคามุงกระเบื้อง ไม่มีกันสาด ลักษณะอาคาร 3 หลังเชื่อมต่อกัน 3 ด้าน เป็นผังรูปทรงตัว U มีพื้นที่ว่างตรงกลางระหว่างอาคารทั้งสามหลัง เป็นลานอเนกประสงค์ เรายังค้นพบภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้สี ที่ฉาบทับไว้ซ้ำไปมาหลายต่อหลายชั้นเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นการเขียนสีด้วยพู่กันลงบนผนังปูน ทำให้ภาพจิตรกรรมเหล่านี้ยังคงผนึกไว้และไม่ถูกลบหายไป แล้วอะไรที่หนักใจที่สุดในการบูรณะท่าเรือเก่าอายุเกือบ 200 ปีตอนที่เข้ามาครั้งแรก อาคารต่างๆค่อนข้างทรุดโทรมมาก ภารกิจแรกที่ต้องทำคือ เร่งซ่อมแซมส่วนที่ผุพังมิให้ล้มครืนลงไป โดยใช้เทคนิคการเย็บตะเข็บไม่ให้พังลงไปอีก และอีกโจทย์หนึ่งที่สำคัญคือ การบูรณะครั้งนี้จะต้องคงสภาพความงดงามดั้งเดิมไว้ให้ได้มากที่สุด จะต้องรักษารูปร่างหน้าตาแบบดั้งเดิมตั้งแต่สร้างครั้งแรก เพราะความขลังของอาคารเหล่านี้อยู่ที่ความเก่า ซึ่งไม่มีมนุษย์ที่ไหนจะสร้างได้ นอกจากกาลเวลาจะสร้างได้แบบนี้ nullตีโจทย์แตกอย่างไร ต้องอนุรักษ์ของเก่าไว้ทั้งหมด แต่ก็ต้องแข็งแรงทนทานไม่พังครืนเข้าไปปั๊บก็ฉีดล้างอาคารทำความสะอาดก่อนเลย และใช้น้ำยาเคมีลอกสีออกทั้งหมด ปรากฏว่าลอกไปแค่หน้าต่างบานเดียวก็เห็นสีซ่อนอยู่ จึงสั่งให้หยุดทุกอย่างไว้ตรงนั้น เปลี่ยนมาใช้วิธีการบูรณะแบบโบราณสถาน โดยเชิญอดีตช่างใหญ่ของกรมศิลปากรมาช่วยซ่อมแซมบูรณะในลักษณะเชิงอนุรักษ์ให้คงสภาพเดิมไว้มากที่สุด เช่น ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังบริเวณรอบวงกบประตูและหน้าต่าง บูรณะด้วยการใช้สีที่ตรงกับของเดิม ค่อยๆแต้มรอยจางให้ชัดขึ้น โดยไม่ใช้สีสมัยใหม่เข้าไประบายทับ หรือวาดเพิ่มเติม ส่วนการบูรณะผนังอิฐที่แตกร่อนก็คงสภาพไว้ตามนั้น ขณะที่ช่องรอยต่อที่แตกร้าวจะบูรณะโดยใช้ปูนจากธรรมชาติแบบโบราณ เพื่อไม่ให้ปูนหลุดร่อนมากกว่าเก่า สำหรับโครงสร้างไม้สักเดิม ส่วนไหนชำรุดก็จะนำไม้จากส่วนอื่นๆของอาคารมาต่อเติมไม่ทิ้งไม้เก่า ในฐานะสะใภ้ตระกูลหวั่งหลี ถือว่างานนี้สอบผ่านไหมคะเวลาเพียง 1 ปี สามารถทำ “ล้ง 1919” ให้ออกมาได้แบบนี้ เพราะชาว หวั่งหลีให้อิสรภาพและความไว้วางใจในการตัดสินใจเต็มที่ตามสัญชาตญาณและความชอบส่วนตัว ทุกคนให้กำลังใจว่าคุณเปี๊ยะทำไปและทำให้ดีที่สุด ครอบครัวหวั่งหลีเป็นครอบครัวที่รักสามัคคีกัน พวกเราเห็นพ้องว่าสิ่งนี้เป็นอนุสรณ์ของตระกูลที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์ โครงการ “ล้ง 1919” จะพลิกที่ดินประวัติศาสตร์ให้กลับมารุ่มรวยอย่างไรบ้าง“ฮวย จุ่ง ล้ง” มีคุณค่าควรแก่การอนุรักษ์ เพราะนอกจากจะรักษาไว้ซึ่งสมบัติของบรรพบุรุษ และสืบต่อให้ลูกหลานตระกูลหวั่งหลีแล้ว ยังเป็นสมบัติทางประวัติศาสตร์และสมบัติของคนไทยทั้งชาติด้วย พวกเราชาวหวั่งหลีตั้งใจจะรักษามรดกของบรรพบุรุษชิ้นนี้ไว้ให้คงอยู่ตราบนานเท่านาน และคาดหวังว่าการทุ่มเทบูรณะท่าเรือแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนวแฮริเทจ ซึ่งโดดเด่นด้วยศิลปะและสถาปัตยกรรมที่บอกเล่าประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของชาติ จะทำให้ประชาชนคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้เห็นถึงคุณค่าของการอนุรักษ์มรดกชาติ นอกจากจะมีพิพิธภัณฑ์ศึกษาประวัติศาสตร์ไทยจีนในอดีตบนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว เรายังมีพื้นที่อเนกประสงค์ สำหรับการจัดกิจกรรมกลางแจ้ง, นิทรรศการ, งานเลี้ยงสังสรรค์, โคเวิร์คกิ้ง สเปซ, ร้านอาหาร และคาเฟ่สไตล์ฮิปๆ พร้อมทั้งร้านจำหน่ายงานฝีมือของศิลปินร่วมสมัยรุ่นใหม่ร่วมกันปลุก “ฮวย จุ่ง ล้ง” ยักษ์ใหญ่ที่หลับใหลมานาน ให้ตื่นขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง.ทีมข่าวหน้าสตรี