ถ้ามติของคณะกรรมการปฏิรูปด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ข้าราชการทุกคนและทุกตำแหน่งจะต้องยื่นบัญชี เพื่อแสดงทรัพย์สินและหนี้สินเป็นครั้งแรก แม้จะเป็นเพียงการยื่นต่อหัวหน้าส่วนราชการ และไม่สามารถเปิดดูได้ เพียงแต่เก็บไว้ จะมีการตรวจสอบต่อเมื่อมีการร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. หรือ ป.ป.ท. เป็นมาตรการใหม่ในการปราบโกงรัฐธรรมนูญก่อนๆเช่นฉบับ 2550 มีบทบัญญัติให้เฉพาะนักการเมือง เช่น นายกรัฐมนตรีและ ส.ส. ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ไม่เกี่ยวกับข้าราชการ แม้การทุจริตที่เกิดขึ้นมักจะเป็นไปตามสูตร “สามประสาน” การสมคบกันระหว่างนักการเมือง ข้าราชการ และนักธุรกิจ และก่อนที่จะมีนักการเมือง ก็มีการฉ้อราษฎร์โดยเจ้าหน้าที่รัฐอยู่แล้วในยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ประเทศไทยตื่นตัวในการปราบปรามการทุจริต จึงมีกฎหมายจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป.) แต่เป็นยักษ์ไม่มีกระบอง จึงนำไปสู่การจัดตั้งองค์กรอิสระ ป.ป.ช. ในยุคธุรกิจการเมืองเฟื่องฟู มีการโกงกินนับร้อยนับพันล้านแต่ไม่มีรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ให้เจ้าหน้าที่รัฐยื่นบัญชีทรัพย์สิน แม้จะปรากฏเป็นข่าวบ่อยครั้ง เกี่ยวกับความร่ำรวยผิดปกติของข้าราชการระดับสูงในบางหน่วยงาน บางคนมีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยร้อยล้านพันล้าน แม้จะไม่ได้ทำธุรกิจใดๆ กินแต่เงินเดือนข้าราชการ มีข้อมูลระบุว่า แม้จะไม่มีนักการเมือง แต่การทุจริตในวงราชการก็เป็นไปตามปกติผลการศึกษาขององค์กรความโปร่งใสนานาชาติ ใน 16 ประเทศในเอเชีย พบว่า คนปากีสถานกับคนไทย ต้องจ่ายสินบนให้ข้าราชการมากที่สุด ที่น่าเศร้าก็คือ ไทย ปากีสถาน และอินเดีย เป็นประเทศที่คนจนต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะให้เจ้าหน้าที่รัฐมากสุด คนจนเดือดร้อนสุดจากการรีดไถของเจ้าหน้าที่รัฐ ส่วนการทุจริตนักการเมืองอาจไม่กระทบชาวบ้านโดยตรงการทุจริตเงินทอนวัดเป็นตัวอย่างชัดเจน ของการทุจริตโดยข้าราชการล้วน (ดึงพระสงฆ์ร่วมทำบาปด้วย) โดยไม่มีนักการเมืองร่วมขบวนการ การค้นหามาตรการที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในวงราชการ จึงเป็นการเดินถูกทาง เนื่องจากมีข้าราชการหลายล้านคนทั่วประเทศ มีอำนาจหน้าที่ที่อาจเป็นคุณหรือโทษต่อประชาชนแต่น่าสงสัยว่าการบังคับให้ยื่นบัญชีทรัพย์สิน จะเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพหรือไม่ ในการปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวง อย่าลืมว่าระบบราชการถูกครอบงำ ด้วยระบบอุปถัมภ์หรือพวกพ้อง ขัดหลักนิติธรรม ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา แต่ลูบหน้าปะจมูก ขณะนี้ระบบพวกพ้องน้องพี่แพร่ระบาดถึงวงการเมือง สวนทางนิติธรรมชัดเจน.