งานหนังสือยิ่งใหญ่ของทุกๆปีจะมีขึ้น 2 ครั้ง คือ “งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ” ซึ่งจะจัดในช่วงเดือนเมษายน กับ “มหกรรมหนังสือระดับชาติ” ที่จะจัดในเดือนตุลาคมทั้ง 2 งานมีสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (มีอักษรย่อเป็นภาษาอังกฤษว่า PUBAT) เป็นเจ้าภาพใหญ่และได้จัดงานติดต่อมาแล้วหลายๆปีหลายๆครั้งสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ จัดไปแล้วเป็นครั้งที่ 45 เมื่อ 29 มี.ค.-9 เม.ย.ที่ผ่านมา ส่วน มหกรรมหนังสือระดับชาติ ที่จะจัดขึ้นระหว่าง 18-29 ต.ค.นี้ จะเป็นครั้งที่ 22จริงๆแล้วรูปแบบของการจัดงานแทบไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย มีการออกร้านจำหน่ายหนังสือของสำนักพิมพ์ต่างๆเป็นหลัก แล้วก็มีการเสวนาวิชาการด้านหนังสือและการอ่านเขียนควบคู่ไปกับเสวนาเปิดตัวหนังสือใหม่รวมทั้งจะมี งานนิทรรศการใหญ่ เพื่อแสดงถึง “วัตถุประสงค์” หรือ “เจตนารมณ์” หรือ “แนวคิดหลัก” ของงานหนังสือในแต่ละครั้งสำหรับ นิทรรศการ จะถือเป็น “ไฮไลต์” หรือจุดเด่นที่สำคัญประการหนึ่งของงานหนังสือ และได้รับความนิยมค่อนข้างสูง จนกลายเป็น “เสาเอก” ของงานที่ขาดไม่ได้ในระยะหลังๆแม้ “รูปแบบ” การนำเสนอและการจัดงานจะเหมือนๆเดิม แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง รวมถึงการวาง “บูธ” หรือ “ร้านหนังสือ” ของสำนักพิมพ์ต่างๆ ก็แทบจะอยู่ที่เดิม มุมเดิม องศาเดิมแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปทุกปีคือ “สาระ” ทั้งในแง่ของ “หนังสือ” ที่จะนำมาจำหน่ายและส่วนประกอบของงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเสวนาประเด็นการประชุมทางวิชาการ รวมทั้ง “นิทรรศการ” ที่จะแสดงออกถึงแนวคิดหลักของงานด้วย “สาระ” ในทุกๆด้านที่เปลี่ยนไปนี้เองทำให้งานหนังสือยังคงมีผู้คนไปอุดหนุนอย่างหนาแน่น...เพื่อจะไปซื้อหนังสือใหม่ๆ หรือแม้แต่หนังสือเก่าก็มักจะเป็นเรื่องใหม่ที่ต่างจากปีก่อนๆหน้าโน้นรวมทั้งเรื่องเสวนาต่างๆที่จะเปลี่ยนไปตามเหตุการณ์ ทำให้คนอยากไปฟัง และแน่นอน นิทรรศการ หลักที่เปลี่ยนไปทุกครั้ง ถือเป็นเสน่ห์ของงานหนังสือทั้ง 2 งาน ที่ยากจะหางานอื่นใดมาเทียบเคียงได้ดังเช่นงาน “มหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 22” ที่จะเริ่มขึ้นในวันพุธที่ 18-วันอาทิตย์ 29 ตุลาคม 2560 รวมทั้งสิ้น 12 วันเต็มๆ จุดเด่นก็จะอยู่ที่ นิทรรศการ อีกเช่นเคยสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายฯตั้งชื่อนิทรรศ-การไว้ว่า “ความท๙งจำ” มีเลข ๙ แทน ร.เรือ จึงไม่สามารถอ่านออกเสียงว่า “ความทรงจำ” ได้ถนัดนักแต่ในเชิงสัญลักษณ์กลับทำให้เราระลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ขึ้นมาโดยพลัน และอดมิได้ที่จะชื่นชมเจ้าของความคิดที่ใช้ชื่อนี้และเขียนด้วยตัวอักษรบวกกับหมายเลข ๙ เช่นนี้ในหลวงรัชกาลที่ ๙ อยู่ในความทรงจำของคนไทยเสมอมา และจะคงอยู่ไปตลอดกาลนิรันดร์เนื้อหาของนิทรรศการในปีนี้จะเป็นเรื่องราวในความทรงจำของพสกนิกรในพระมหากรุณาธิคุณ อันใหญ่หลวงของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีต่อวงการหนังสือทรงให้ความสำคัญแก่หนังสือมาตลอดและมีพระบรมราโชวาทพระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2514 ตอนหนึ่งว่า“หนังสือเป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมาแต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญเป็นคล้ายๆธนาคารความรู้และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้”นอกจากทรงเป็นนักอ่านแล้ว ยังทรงเป็นนักเขียน นักแปล โดยทรงพระราชนิพนธ์ “หนังสือ” ไว้หลายต่อหลายเล่ม รวมทั้งเรื่อง “พระมหาชนก” (พ.ศ.2539) และ “ทองแดง” (พ.ศ.2545)น้อยคนนักที่จะทราบว่าพระราชนิพนธ์ชิ้นแรกที่ได้รับการตีพิมพ์ ได้แก่เรื่อง “เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์” ตีพิมพ์ในนิตยสาร วงวรรณคดี ฉบับเดือนสิงหาคม ปี 2490เป็นพระราชนิพนธ์ที่มีความยาว 14 หน้า พร้อมภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ ประกอบในพระราชนิพนธ์ที่เปรียบเสมือนบันทึกประวัติศาสตร์เรื่องนี้เองที่มี “ประโยค” อันซาบซึ้งใจ ที่ต่อมาได้มีการนำมาเผยแพร่อย่างกว้างขวาง และแม้จนบัดนี้ก็ยังกึกก้องอยู่เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของพสกนิกรชาวไทยตลอดเวลา“ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร”นิตยสารที่ตีพิมพ์พระราชนิพนธ์เรื่องนี้ พร้อมด้วยหนังสือพระราชนิพนธ์ครบชุด จะนำมาแสดงให้ชมในนิทรรศการแห่งความทรงจำ ในชื่อ “ความท๙งจำ” ดังที่กล่าวไว้แล้วนอกจากนิทรรศการแล้ว ยังจะมีกิจกรรมบนเวทีเอเทรียม ซึ่งเป็นการเสวนาและปาฐกถาที่สำคัญที่ไม่ควรพลาดจาก 90 กว่ารายการ จะมีรายการ “9 วัน 9 ความทรงจำ ธ สถิตอยู่ในใจไทยนิรันดร์” กับบุคคลมีชื่อเสียงที่จะมาแบ่งปันความทรงจำในห้วงเวลาสำคัญของชาวไทย เช่น ชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.วสิษฐ์ เดชกุญชร และ นพ.ดนัย โอวัฒนาพาณิชย์ ฯลฯ เป็นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับการออกร้านหนังสือโดยตรงนั้น ฝ่ายประชาสัมพันธ์แจ้งว่า จะมีหนังสือราคาพิเศษที่คัดสรรมาให้เลือกกว่า 1,000,000 เล่ม จากสำนักพิมพ์ 389 แห่ง จำนวนบูธ 939 บูธ บนเนื้อที่กว่า 20,000 ตารางเมตรโปรดอย่าลืมแวะไปงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 22 บ้างนะครับ วันใดก็ได้ใน ระหว่าง 18-29 ตุลาคมที่สำคัญอย่าลืมแวะไปร่วมรำลึกความทรงจำถึง “พ่อ” อันเป็นที่รักและเคารพยิ่งของปวงชนชาวไทยในนิทรรศการ “ความท๙งจำ” กันด้วย เพื่อเรียนรู้อีกหนึ่งพระมหากรุณาธิคุณอันเหลือล้นที่ทรงมอบให้แก่ประเทศไทยและพสกนิกรชาวไทย.“ซูม”