คดีปล้นเงินสด 196 ล้านเยน ที่ผู้เสียหายขนมาจากประเทศญี่ปุ่นคลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว...ชุดสืบสวนนครบาลใช้เวลาไม่นาน ตามลากคอแก๊งผู้ต้องหามาดำเนินคดีได้แล้ว 6 คน ยังจับไม่ได้อีก 1 คน และกำลังจะขออนุมัติศาลออกหมายจับเพิ่มอีก 3 คน และตามยึดเงินของกลางคืนมาได้ทั้งหมดเพราะผู้ก่อเหตุไม่ใช่ใครที่ไหน...เป็นกลุ่มเพื่อนและลูกน้องของ นายภัทริศ หรือโต้โต้ แต้รัตนชัย เองเรียกว่า งานนี้ไม่เกี่ยวกับคนนอก แต่เกลือเป็นหนอนล้วนๆ!เบื้องต้นนักธุรกิจค้าทองคำและจิวเวลรี่ให้การตำรวจว่า เงินทั้งหมดถูกต้องตามกฎหมาย เป็นเงินค้าขายทองและเครื่องประดับให้ลูกค้าที่ประเทศญี่ปุ่นแต่เลือกขนย้ายเงินแบบเหนือความคาดหมาย ด้วยการหิ้วใส่กระเป๋าเดินทางเข้ามาเองซะอย่างงั้น?และครั้งที่ถูกปล้นไม่ได้เป็นครั้งแรก แต่เป็นครั้งที่ 5 แล้วที่ทำแบบนี้ หลังขนเงิน 196 ล้านเยนเข้ามา แค่สำแดงเงินทั้งหมดต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรเท่านั้น ก็หิ้วเดินออกมาจากสนามบินสุวรรณภูมิได้แล้ว?!?ฟังแล้วมีคำถามผุดขึ้นมาทันทีว่า อย่างนี้ก็ได้หรือ...เมื่อตามไปดูระเบียบข้อกฎหมายเกี่ยวกับการนำเงินสดเข้า-ออกประเทศ มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆบุคคลธรรมดานำเงินไทยออกนอกประเทศ โดยไม่ต้องขออนุญาตได้ครั้งละไม่เกิน 50,000 บาทยกเว้นนำออกไปยังประเทศที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทย เช่น กัมพูชา ลาว เมียนมา มาเลเซีย เวียดนาม และมณฑลยูนนาน เพิ่มเป็น 500,000 บาท เกินนั้นต้องขออนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยส่วนนำเงินไทยเข้าประเทศไม่อั้น มีเท่าไหร่ขนเข้ามาได้หมด...ขณะที่เงินตราต่างประเทศสามารถนำออกนอก หรือเข้ามาในราชอาณาจักรไม่จำกัด แต่ถ้าเกินกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเทียบเท่า ต้องสำแดงรายการเงินตราต่างประเทศต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรขณะผ่านด่านหากไม่สำแดงมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 2 หมื่นบาท!?!เรียกว่า บุคคลธรรมดาจะขนเงินตราต่างประเทศเข้า-ออกได้แบบฟรีสไตล์แต่กรณีเงิน 196 ล้านเยนที่ถูกปล้น ผู้เสียหายบอกเองว่า เป็นเงินจากการทำธุรกิจ ไม่รู้จะมีปัญหาหรือเปล่า?ดูแล้ว...มันน่าจะมีกฎระเบียบมาควบคุมบ้างเนอะ...สหบาท