ซ้อมริ้วขบวนอิสริยยศเสมือนพระราชพิธีจริง พสกนิกรถึงหลั่งนํ้าตาการฝึกซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในสถานที่จริงผ่านพ้นไปด้วยความยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ ท่ามกลางประชาชนนับพันร่วมรับชมใกล้ชิด และหลั่งน้ำตาแห่งความอาลัยในหลวงรัชกาลที่ 9 ขณะที่ “หมอประสิทธิ์” 1 ใน 2 ผู้ปฏิบัติหน้าที่เจ้าพนักงานภูษามาลาประคองพระบรมโกศ เปิดใจขอเป็นตัวแทนมือของ 68 ล้านคนไทย ที่จะร่วมกันประคองพระบรมโกศส่งเสด็จ พร้อมขอให้คนไทยทั้งผองน้อมรำลึกทุกสิ่งที่พระองค์พระราชทานให้และตั้งจิตอธิษฐานที่จะสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ เริ่มแล้วสำหรับการซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศเสมือนจริงครั้งแรก เมื่อวันที่ 7 ต.ค.เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับพระราชพิธีถวาย พระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช ที่บริเวณพระบรมมหาราชวังและท้องสนามหลวง โดยมีทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศที่ 1-2-3 กว่า 20 หน่วยงาน รวมกว่า 4,000 คน อาทิ สำนักพระราชวัง หน่วยทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ สพ.ทบ. พธ.ทบ. ขส.ทบ. นปอ.พล.1 รอ. พล.ร.11 นักเรียนนายร้อย 4 เหล่าทัพ วงดุริยางค์ 3 เหล่าทัพ ฯลฯ เข้าร่วมในการฝึกซ้อมเสมือนจริง ในสถานที่จริง เป็นครั้งแรก โดยเปิดให้ประชาชนเข้าชมการฝึกซ้อมครั้งสำคัญอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ก่อนการฝึกซ้อมจะเริ่มขึ้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 03.30 น. ที่โรงราชรถพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พล.ท.อาวุธ เอมวงศ์ เจ้ากรมสรรพาวุธทหารบก (สพ.ทบ.) นำกำลังพล สพ.ทบ.ที่ปฏิบัติหน้าที่ในการฉุดชักราชรถทั้งหมดในริ้ว ขบวนพระบรมราชอิสริยยศที่ 2 และเจ้าหน้าที่ประจำเกรินทุกจุด เข้าร่วมทำพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนการเคลื่อนพระมหาพิชัยราชรถ หมายเลข 9780 และราชรถพระนำ หมายเลข 9784 ราชรถปืนใหญ่ รวมถึงพระยานมาศสามลำคาน เกรินบันไดนาค ถือเป็นการปฏิบัติตามราชประเพณี ปรากฏว่าทันทีที่เสร็จสิ้นการบวงสรวง กำลังพล สพ.ทบ. เริ่มฉุดชักราชรถราชยาน ออกจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ก็เกิดฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างหนักครั้นเมื่อราชรถทั้ง 2 องค์ เข้าสู่ตำแหน่งที่ตั้งของริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศที่ 2 คือบริเวณถนนสนามไชย หน้าพลับพลายกวัดพระเชตุพนฯ และหน้าประตูศักดิ์ชัยสิทธิ์ ฝนที่ตกลงมาหนักก็หยุดลงอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งนี้ การเคลื่อนพระมหาพิชัยราชรถ และราชรถพระนำ สพ.ทบ.ได้กำหนดให้เร็วกว่าเวลาในพระราชพิธี เนื่องจากต้องการทดสอบระบบขับเคลื่อนล้อหลักเนื่องจากไม่ได้ใช้มาเป็นเวลานาน ผลปรากฏว่า สามารถชักลากไปได้อย่างราบรื่นสมบูรณ์ดี ขณะที่ในส่วนของประชาชนที่มารอเข้าชมการซักซ้อมริ้วขบวนฯ แม้ว่าจะมีฝนตกลงอย่างหนักตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง แต่ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศ ยังไม่ลดละความตั้งใจ เข้ามารอยังจุดคัดกรองกันเป็นจำนวนมากตั้งแต่ก่อนเวลา 05.00 น. เป็นเวลาที่เจ้าหน้าที่เปิดประตูจุดคัดกรองทั้ง 3 จุด ประกอบด้วยที่บริเวณท่าช้าง ที่ ม.ธรรมศาสตร์ และที่ศาลพระแม่ธรณีบีบมวยผม ซึ่งทันทีที่ประชาชนเดินผ่านจุดคัดกรองมาก็ได้เข้าไปจับจองพื้นที่บนฟุตปาท นำเสื่อ แผ่นพลาสติกปูนั่ง มาปูรองนั่งตามจุดต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่ได้อนุญาตให้เข้าชมได้ โดยที่ประตูเทวาภิรมย์ ถนนมหาราช ประชาชนใน กทม.และต่างจังหวัด รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาจองพื้นที่เพื่อรอชมการซ้อมจำนวนมากกระทั่งเวลาประมาณ 07.00 น. การฝึกซ้อมเสมือนจริงในสถานที่จริงเริ่มขึ้น จำลองขั้นตอนตามหมายกำหนดการจริงในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ วันที่ 26 ต.ค.ทุกประการ เริ่มจากการรับเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่จะเสด็จพระราชดำเนินยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เพื่อประกอบพิธีสงฆ์ จากนั้นมีการอัญเชิญพระโกศทองใหญ่จำลอง ประดิษฐานบนพระยานมาศสามลำคาน ที่หน้าประตูสรีสุนทร มี รศ.นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีณิณ ผอ.รพ.ศิริราช ปิยมหาราชการุณ และ ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราช รับหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานภูษามาลาประคองพระบรมโกศทั้งนี้ เมื่อพระยานมาศสามลำคาน ได้อัญเชิญพระโกศทองใหญ่จำลอง ออกจากพระบรมมหาราชวังทางประตูเทวาภิรมย์เป็นที่เรียบร้อย เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้ยกสัปตปฎลเศวตฉัตรกางกั้นพระโกศ ปรากฏว่าท้องฟ้าโดยรอบมณฑลพิธีก็เริ่มสว่างสดใส มีแสงแดดจางๆและมีลมพัดมาอ่อนๆ จากนั้นในเวลา 08.35 น. เจ้าพนักงานให้สัญญาณ ริ้วขบวนพระอิสริยยศที่ 1 ก็เคลื่อนขบวนตามจังหวะกลอง ไปบนถนนมหาราช ก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าถนนท้ายวัง โดยสมมติเหตุการณ์ว่ามีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์ เข้าร่วมในริ้วขบวนด้วย จนถึงลานหน้าพลับพลายกหน้าวัดพระเชตุพนฯ ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศที่ 2 ตั้งรออยู่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ขบวนพระอิสริยยศที่ 1 อัญเชิญพระโกศทองใหญ่จำลอง เคลื่อนออกจากประตูเทวาภิรมย์ ยังถนนมหาราช ผ่านหน้าประชาชนที่รอชมอยู่บนฟุตปาท ต่างนำกล้องถ่ายภาพ มาบันทึกภาพเก็บไว้เป็นประวัติศาสตร์ บางคนยกมือขึ้นไหว้ มีน้ำตาไหลออกมาด้วยความเสียใจจากนั้นริ้วขบวนที่ 1 ได้เข้ารวมกับริ้วขบวนที่ 2 ที่รออยู่ที่หน้าหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ก่อนที่จะเชิญพระโกศทองใหญ่จำลองเทียบเกรินบันไดนาค ประดิษฐานบนบุษบกพระมหาพิชัยราชรถ ริ้วขบวนที่ 2 ประกอบด้วย กองทหารนำราชรถพระนำ พระมหาพิชัยราชรถทรงพระบรมโกศ ตามด้วยกองขบวนทหาร เดินตามริ้วขบวนไปตามถนนสนามไชย ในเวลา 09.27 น.เข้าสู่ถนนราชดำเนินใน ผ่านหน้ากระทรวงกลาโหม ศาลหลักเมือง มุ่งหน้าสู่พระเมรุมาศ รวมระยะทาง 990 เมตร เมื่อริ้วขบวนผ่านศาลฎีกา มีประชาชนนั่งรอชมริ้วขบวนกันเต็มพื้นตั้งแต่หน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ จนถึงหน้าศาลฎีกา เมื่อริ้วขบวนผ่านหน้า ประชาชนบางรายได้ชูพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง ร.9 ขึ้นเหนือศีรษะ หลายคนยกมือไหว้ท่วมหัว และหลั่งน้ำตาออกมา มีเสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นแสดงถึงความอาลัย ก่อนที่ริ้วขบวนจะเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ท้องสนามหลวง เช่นเดียวกับที่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีประชาชนจำนวนมากต่างพากันนำกล้องถ่ายรูป รวมทั้งโทรศัพท์มือถือมาเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย กระทั่งเวลา 11.30 น. พระมหาพิชัยราชรถถึงยังพระเมรุมาศ เจ้าพนักงานนำเกรินบันไดนาคเข้าเชื่อมต่อพระมหาพิชัยราชรถ เพื่ออัญเชิญพระโกศทองใหญ่จำลองลงมาประดิษฐานบนราชรถปืนใหญ่ส่วนหน้า มีทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ทำหน้าที่ชักลาก ทั้งนี้ราชรถปืนใหญ่ได้อัญเชิญพระโกศทองใหญ่จำลองเข้าเชื่อมต่อราชรถส่วนหลังในพระเมรุมาศ ก่อนที่จะเคลื่อนเข้าประจำตำแหน่งในริ้ว 3 ที่ตั้งรออยู่ เมื่อได้สัญญาณจึงเวียนอุตราวัฏ (เวียนซ้าย) 3 รอบพระเมรุมาศ รอบละ 360 เมตร ราชรถปืนใหญ่เทียบเกรินบันไดนาค อัญเชิญพระโกศทองใหญ่จำลองขึ้นประดิษฐานบนพระจิตกาธาน ในเวลา 12.45 น. แล้วปิดพระวิสูตร (ม่าน) ประกอบพระโกศจันทน์ สิ้นสุดการซ้อมที่ใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมง การซ้อมครั้งต่อไปจะมีในวันที่ 15 ต.ค.และในวันที่ 21 ต.ค.เป็นการซ้อมใหญ่เต็มรูปแบบต่อมาผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก ศ.นพ. ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้สัมภาษณ์ไทยรัฐถึงภารกิจการเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่เจ้าพนักงานภูษามาลาประคองพระบรมโกศว่า ถือเป็นเกียรติสูงสุดของตนและอาจารย์ประดิษฐ์ ปัญจวีณิน แต่ว่าสิ่งที่คิดว่าเรารู้สึกจริงๆ ทั้งสองคน ก็คือ มือ 2 คู่ที่จะประคองพระโกศในวันนั้น จริงๆคือมือของ 68 ล้านคนไทย ที่จะร่วมกันประคองพระโกศส่งเสด็จท่าน เผอิญเราสองคน เหมือนกับเป็นตัว แทน และอยากให้ทุกคนน้อมจิตในวันนั้นเหมือนกันน้อมจิตร่วมกันประคองพระโกศส่งเสด็จพระองค์ท่าน อยากให้วันนั้นเป็นวันที่น้อมรำลึกถึงพระองค์ท่าน นึกถึงทุกสิ่งที่พระองค์ท่านพระราชทานให้กับเรา ตั้งจิตอธิษฐานที่จะสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ท่าน แล้วใช้ 2 มือ จะเป็น 2 มือที่ส่งทางกระแสจิตไปเพื่อประคองพระโกศส่งเสด็จท่าน“ผมเชื่อว่าถ้าเราช่วยกัน พระราชพิธีในวันนั้น จะงดงามและจะเป็นพระราชพิธีที่ไม่ใช่เฉพาะคนไทยเท่านั้นที่ภูมิใจ ผมเชื่อว่าทั่วโลกก็จะได้เห็นสิ่งดีงามของประเทศไทย” ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว ในส่วนความรู้สึกของประชาชนที่มารอชมการซักซ้อมในครั้งนี้ บอกไม่ต่างกันว่ารู้สึกใจหายยามริ้วขบวนเคลื่อนผ่าน และถึงกับน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว อาทิ นางพวงทอง ยะอนันต์ อายุ 64 ปี ชาวลำพูน ที่มากับลูกหลาน 4 คน บอกว่ารู้สึกคิดถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ถึงกับน้ำตาไหล ขณะที่นางปฐมาพร เบ็ดเสร็จ อายุ 34 ปี ข้าราชการครูใน จ.ตรัง ที่มากับสามีและลูกสาววัย 2 ขวบ 7 เดือน เพื่อเข้าถวายสักการะพระบรมศพและอยู่ชมริ้วขบวนก่อนจะกลับในตอนเย็น เพราะถือเป็นโอกาสหนึ่งในชีวิตที่จะได้มากราบพ่อหลวง ส่วนนายวันชัย วงษ์ศิลป์ อายุ 60 ปี และนางนุสรา ภรรยา อายุ 55 ปี ชาวบางกอกน้อย กทม. ที่นอกจากมารอชม การซ้อมการเดินริ้วขบวนพระราชอิสริยยศที่ยิ่งใหญ่ แล้วยังมาให้กำลังใจลูกชาย เป็นพนักงานราชการกรมสรรพาวุธ และได้เป็นส่วนหนึ่งในริ้วขบวน ทำหน้าที่เป็นคนฉุดชักราชรถน้อย ในฐานะที่พ่อแม่ก็รู้สึกปลื้มและตื้นตันใจมาก ที่ลูกได้รับหน้าที่ยิ่งใหญ่เพื่อในหลวงร.9 เป็นครั้งสุดท้ายอีกด้านหนึ่ง ที่อาคารรับรองสนามเสือป่า พระ ราชวังดุสิต ตั้งแต่เวลา 08.00 น. วันที่ 7 ต.ค. เป็นวันแรกที่ประชาชนจิตอาสาเฉพาะกิจ เข้ารับสิ่งของพระราชทาน ได้แก่ เสื้อโปโลสีดำ หมวกแก๊ปสีฟ้า ผ้าพันคอสีเหลืองประชาชนจิตอาสา ปลอกแขน และบัตรประจำตัวจิตอาสา เพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ ถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ระหว่างวันที่ 18-31 ต.ค.นี้ มีประชาชนจิตอาสาเฉพาะกิจทยอยเข้ามารับสิ่งของพระราช ทาน หน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน ขณะที่บริเวณสนามหน้าอาคารรับรอง สำนักพระราชวัง มีการตั้งเต็นท์แบ่งประเภทตามงานต่างๆ จำนวน 8 เต็นท์ เพื่อให้ประชาชนจิตอาสาเฉพาะกิจของทุกงานได้รับฟังคำชี้แจงในการปฏิบัติหน้าที่และมอบหมายภารกิจ กำหนดวันเวลาและสถานที่ในการปฏิบัติงาน ขอบเขตของงานแต่ละประเภท ที่แบ่งเป็น 8 งาน ได้แก่ งานดอกไม้จันทน์ งานประชาสัมพันธ์ งานโยธา งานขนส่งเพื่อความปลอดภัย ของประชาชน งานบริการประชาชน งานแพทย์ งานรักษาความปลอดภัย และงานจราจร รวมทั้งข้อปฏิบัติในการเป็นจิตอาสาเฉพาะกิจ ทั้งนี้ จิตอาสาเฉพาะกิจงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ที่ลงทะเบียนไว้ในภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งต่างประเทศ สามารถไปรับสิ่งของพระราชทานในพื้นที่ที่ได้ลงทะเบียนไว้ ตั้งแต่บัดนี้-วันที่ 12 ต.ค.นี้ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชานุญาตให้จัดตั้ง “จิตอาสาเฉพาะกิจ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ” ด้วยทรงรับรู้ถึงพลังแห่งคุณค่าของความรัก ความศรัทธาเทิดทูน และความจงรักภักดีที่ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า มีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อปวงพสกนิกรมาโดยตลอด ประชาชนในภูมิภาคต่างๆทั้งกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ตลอดจนในต่างประเทศ ลงทะเบียนเป็นจิตอาสาเฉพาะกิจงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ตั้งแต่วันที่ 1-30 ก.ย.ที่ผ่านมา มีจำนวนรวม 4,006,801 คน