ชุ่มฉ่ำตลอดทั้งสัปดาห์ ฤดูปลายฝนต้นหนาวบรรยากาศฝนสั่งฟ้าในห้วงเวลาเข้าสู่เดือนตุลาคม ตามกำหนดพระราชพิธีสำคัญของปวงชนชาวไทยโดยสำนักพระราชวังได้เปิดให้ประชาชนทั่วไป เข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 5 ตุลาคม 2560 เป็นวันสุดท้ายตามภาพแห่งความจงรักภักดีของพสกนิกรจากทั่วทุกสารทิศ ต่อแถวยาวเหยียดจากพระบรมมหาราชวังไปถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย รอกันข้ามวันข้ามคืนเพื่อเข้ากราบ “พ่อ” ของแผ่นดิน เสด็จสู่สวรรคาลัยบรรยากาศแห่งความอาลัยปกคลุมไปทั่วทุกอาณาเขตประเทศไทย ในโหมดที่สถานีโทรทัศน์ทุกช่องปรับโทนสีกึ่งขาวดำ สื่อต่างๆ ห้างร้าน สถานบริการพร้อมใจกันงดรายการบันเทิงเริงรมย์และนั่นก็รวมถึงฝ่ายการเมืองที่ต้องลดดีกรีความร้อนแรงลงตามกาลเทศะโดยเฉพาะภารกิจสำคัญของรัฐบาล คสช.ต้องยกระดับหน่วยงานความมั่นคง ในการดูแลความสงบเรียบร้อยในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ “ในหลวงรัชกาลที่ 9”ห้วงเวลาประวัติศาสตร์ของชาติไทยต้องสงบนิ่งที่สุดยิ่งมีจุดอ่อนไหว ตามสถานการณ์ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ในฐานะเบอร์หนึ่งด้านความมั่นคง เปิดเผยข้อมูลเองเลยว่า มีข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่จ้องป่วนในช่วงพระราชพิธีสำคัญ โดยเป็นขบวนการที่โจมตีสถาบันมาอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องของพวกหน้าเดิมๆทั้งในและนอกประเทศตามรูปการณ์ ทหาร ตำรวจ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนทั่วไปก็ต้องร่วมด้วยช่วยกันเป็นหูเป็นตาในการเฝ้าสังเกตขบวนการป่วนเมืองสกัดแก๊งหมิ่นเบื้องสูง ไม่ให้ทำเรื่องเลวระยำและต้องร่วมกันเป็นเจ้าภาพที่ดีในการต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เหล่าประมุข ผู้นำประเทศต่างๆที่จะเดินทางมาร่วมพระราชพิธีสำคัญขององค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของปวงชนชาวไทยและชาวโลกตามสถานการณ์ยากที่พลังแฝงความชั่วร้ายจะเอาชนะพลังบริสุทธิ์ของลูกๆชาวไทยหลอมรวม “พลังแผ่นดิน” ถวายองค์ “ภูมิพล”ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ก็นับเป็นการประสบผลสำเร็จอย่างงดงามกับปรากฏการณ์ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ยกคณะใหญ่บินไปเยือนสหรัฐอเมริกา ตามคำเชิญของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่เป็นผู้นำจากการรัฐประหารที่ได้รับเกียรติให้เข้าไปนั่งในทำเนียบขาว วอชิงตัน ดี.ซี. อย่างสง่างามตามระดับการต้อนรับที่ใช้คำว่า “อย่างดียิ่ง” จากผู้นำสหรัฐฯ“บิ๊กตู่” ได้พบทั้งเบอร์หนึ่งคือประธานาธิบดี “ทรัมป์” เบอร์สอง รองประธานาธิบดี “ไมค์ เพนซ์” เบอร์สาม “พอล ไรอัน” ประธานสภาผู้แทนราษฎร และเบอร์สี่ ผู้อาวุโสสูงสุดวุฒิสภาอเมริกันนอกจากการหารือแบบโฟร์อาย คุยกันเปิดอกแบบสองต่อสอง ประธานาธิบดี “ทรัมป์” ยังขนวงใหญ่ ทั้งกลาโหม กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ มานั่งประชุมร่วมกับคณะของผู้นำรัฐบาลไทย ตั้งแต่เที่ยงครึ่งถึงบ่ายสามโดยไม่มีการเอ่ยถามถึงปมการเมืองในประเทศไทยบ่งบอกถึงการให้น้ำหนักกับผู้นำรัฐบาลทหาร คสช.มากขนาดไหนหรือแม้แต่ช็อตเล็กๆที่แปลความหมายแล้วยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดา กับการที่ “อิวานกา ทรัมป์” ลูกสาวประ-ธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงจากห้องมาร่วมถ่ายรูปกับผู้นำไทยและภริยาเรียกว่า กระชับความสัมพันธ์ในทุกระดับทุกมิติตอกย้ำสถานะของแขกวีไอพี ที่ผู้นำประเทศเล็กๆ อย่างไทยไม่น้อยหน้าชาติมหาอำนาจระนาบเดียวกันซึ่งนั่นก็ไม่แปลกที่ “บิ๊กตู่” จะประกาศให้ได้ยินกันทั่วโลกว่า เจอเพื่อนแท้เพิ่มอีกคน ชมเปาะประธานาธิบดี “ทรัมป์” มีอะไรตรงกันโดยเฉพาะความเป็นคนพูดตรงแต่จริงใจและย้ำด้วยว่า การเยือนสหรัฐอเมริการอบนี้ไม่ได้มาในนามของตนเองคนเดียว แต่ขนมาทั้งประเทศไทย อยู่สหรัฐฯก็ได้กลิ่นเมืองไทย อยู่ประเทศไทยก็ได้กลิ่นสหรัฐฯ ด้วยความผูกพันกันมานานและทั้งหมดทั้งปวง ว่ากันตามยุทธศาสตร์การเมือง โลก จากฉากการพบปะระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์กับประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์”ทำให้ไทยมาอยู่ในจุดที่อยู่ตรงกลางประคองเกมถ่วงดุลได้แล้วทั้งสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และรัสเซียผู้นำรัฐบาลทหารอย่าง “บิ๊กตู่” เคลียร์แรงกดดันจากต่างประเทศลงไปได้ระดับหนึ่งเหนืออื่นใด ยังมีอีกช็อตสำคัญที่ถือเป็นไฮไลต์ของรายการนี้ กับการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ยืนยันระหว่างการหารือแบบโฟร์อายกับประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ว่าประเทศไทยจะยึดหลักประชาธิปไตยสากล เดินหน้าตามโรดแม็ปในการปฏิรูปประเทศโดยในปี 2561 จะมีการประกาศกำหนดเลือกตั้งอย่างชัดเจนไม่มีการเลื่อนใดๆทั้งสิ้นทั้งนี้ “บิ๊กตู่” ระบุด้วยว่า ประธานาธิบดี “ทรัมป์” ไม่ได้ถาม แต่เป็นเจ้าตัว พล.อ.ประยุทธ์เองที่แสดงความเชื่อมั่นออกไป ถือเป็นการแสดงความจริงใจตอบกลับการต้อนรับอย่างดียิ่งของผู้นำสหรัฐฯชัดเจนว่า เป็นความตั้งใจส่งสัญญาณเบื้องต้น โดยจุดมุ่งหมายของผู้นำรัฐบาล คสช. น่าจะต้องการกระตุกความมั่นใจของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้กล้านำเงินมาลงทุนในเมืองไทย ในจังหวะเร่งเครื่องดันเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวตามระดับความชัดเจนในการเลือกตั้งที่ผู้นำรัฐบาลทหารไทยได้ย้ำสัญญาประชาคมในเวทีใหญ่ ต่อหน้าผู้นำเบอร์หนึ่งของโลกประชาธิปไตยเลือกตั้งตามโรดแม็ป ยังไงก็เบี้ยวยากเอาเป็นว่า ปรากฏการณ์จากการเยือนสหรัฐฯของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่นำมาซึ่งความชัดเจนเกี่ยวกับกำหนดเลือกตั้ง สร้างความมั่นใจให้นักลงทุน พร้อมๆกับสถานะประเทศเล็กๆแต่เสียงดังในการถ่วงดุลการเมืองโลก ยกระดับความร่วมมือกับพี่เบิ้มทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ความมั่นคงภาพรวมยังไงก็เป็นบวกกับประเทศไทยเป็นเครดิตที่พุ่งพรวดขึ้นมาในรอบ 3 ปีของรัฐบาลคสช.แต่นั่นก็แปรผกผันกัน ในขณะที่สถานการณ์แรงกดดันภายนอกประเทศลดโทนลง ตรงกันข้าม แรงเสียดทานจากการเมืองภายในประเทศกลับเพิ่มดีกรีสวนทางทันควันจับอาการของนักการเมืองทุกพรรคที่รีบออกมา “ตีขลุม” ล็อกคอ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องปล่อยเลือกตั้งในปี 2561 ตามที่ประกาศไว้กับ “โดนัลด์ ทรัมป์” ห้ามเบี้ยวลูกเขี้ยวของนักเลือกตั้งอาชีพตีปี๊บบีบทันควันพล.อ.ประยุทธ์ ต้องย้ำอีกรอบกับคนไทยที่สหรัฐฯ ที่บอกจะประกาศเลือกตั้งในปี 2561 นั้น แค่การประกาศ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเลือกตั้งกันในปีนั้นเลย เพราะต้องขึ้นอยู่กับกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญจะเสร็จช่วงไหน จากนั้นต้องนับไปอีก 150 วันตามขั้นตอนกระบวนการนั่นก็เป็นไปได้ว่ามีการเลือกตั้งปลายปี 2561 หรือเลื่อนไปในปี 2562เรื่องของเรื่อง ตอนนี้รัฐบาล คสช.ยังต้องใช้เวลาตั้งหลักอีกพักใหญ่ไล่ตั้งแต่การเคลียร์ “จุดอ่อน” ที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ก็ยอมรับว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะเติบโตตามเป้าหมาย แต่การกระจายยังไปไม่ถึงมือคนยากคนจนในระดับฐานรากแบบที่รัฐบาลต้องเร่งอัดฉีดทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มเงินรายเดือนคนชรา แก้ปัญหาปากท้องในจังหวะที่ภาษีร้อนๆ ไล่ตั้งแต่ภาษีบาป เหล้า บุหรี่ การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) เป็น 9 เปอร์เซ็นต์ และเก็บภาษีน้ำชาวนา โผล่ขึ้นมาหลอนประชาชนพาลให้คนด่ารัฐบาล ถังแตก หาเงินไม่เป็นและที่เป็นปัญหาใหญ่เลยก็คือ ประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติ งานไม่เดิน เนื้องานไม่ออก แถมปมทุจริตนัวเนียอยู่ในหมู่คนใกล้ตัว เป็นน้ำหนักถ่วงผู้นำรัฐบาลตามสถานการณ์ยังเหลื่อมกันอยู่ ระหว่างความเชื่อมั่นในเชิงจิตวิทยาที่พรุ่งปรี๊ด แต่ความเชื่อมั่นแท้จริงที่มาจากภาคปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลยังก้ำกึ่งมันจึงยังเป็นแค่ความเชื่อมั่นบนความเสี่ยง.“ทีมการเมือง”