เจ้าหน้าที่สำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางสหรัฐฯ หรือเอฟบีไอเร่งสืบหาแรงจูงใจคดีนายสตีเฟน แพ็ดดอค มือปืนชาวอเมริกันวัย 64 ปี ที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญกราดยิงสังหารผู้คนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่สหรัฐฯ ในนครลาสเวกัส รัฐเนวาดา เมื่อคืนวันที่ 1 ต.ค. จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 59 คน รวมนายแพ็ดดอคที่ฆ่าตัวตาย บาดเจ็บอีก 527 คน โดยความคืบหน้าเมื่อวันที่ 4 ต.ค. นั้น เจ้าหน้าที่เอฟบีไอไปรับตัวนางแมรีลู แดนลีย์ วัย 62 ปี คู่รักของนายแพ็ดดอค ที่สนามบินนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย หลังเจ้าตัวเพิ่งเดินทางกลับจากกรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์มาถึงสหรัฐฯทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า นางแดนลีย์ซึ่งเป็นชาวออสเตรเลียเชื้อสายเอเชีย ไม่ได้อยู่ในสหรัฐฯช่วงเวลาเกิดเหตุ แต่ถือเป็น “บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง” กับการสอบสวนคดีนี้ กระนั้นยังไม่ถึงขั้นที่เจ้าหน้าที่ต้องควบคุมตัว นางแดนลีย์ยังสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อิสระ และสหรัฐฯจะสืบสวนร่วมกับตำรวจฟิลิปปินส์เพิ่มเติม หลังพบว่านายแพ็ดดอคโอนเงินมูลค่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3.4 ล้านบาท ให้นางแดนลีย์ไม่กี่วันก่อนก่อเหตุ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังพบอีกว่านายแพ็ดดอค นำกล้องวีดิโอมาติดไว้ที่ทางเดินหน้าห้องก่อเหตุบนชั้น 32 ของโรงแรม เพื่อดูความเคลื่อนไหวของตำรวจมาว่าบุกเข้าถึงตัวหรือยังแม้ทางการสหรัฐฯ ยังคงมืดบอดเรื่องแรงจูงใจการก่อเหตุสะเทือนขวัญของนายแพ็ดดอค แต่นายจิม คลีเมนต์ อดีตเจ้าหน้าเกษียณเอฟบีไอ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาวิเคราะห์ มองว่านายแพ็ดดอคซึ่งมีฐานะไม่ได้ยากลำบากอะไร อาจพบกับจุดเปลี่ยนในชีวิตบางอย่าง ไม่ว่าการเผชิญความสูญเสีย การเลิกรากับคนรัก หรือพบว่าตัวเองป่วยหนัก จำเป็นที่เจ้าหน้าที่ต้องชันสูตรทางจิตวิทยาด้วย เช่นสมองของคนร้ายที่หากไม่ถูกทำลายเสียหายไปตอนฆ่าตัวตาย ก็ควรนำมาตรวจหาความผิดปกติ ประกอบกับดูลักษณะการสืบทอดทางพันธุกรรม เพราะบิดานายแพ็ดดอคเคยก่อคดีใหญ่ และตรวจสอบพบว่ามีจิตผิดปกติขณะการสอบถามเพื่อนบ้านนายแพ็ดดอคในชุมชนวัยเกษียณ เมืองเมสไควท์ รัฐเนวาดา พบว่าไม่มีใครเคยพูดคุยกับนายแพ็ดดอค ที่เก็บตัวอยู่ในบ้าน นำขยะออกมาทิ้งหน้าบ้านก่อนใคร มีเพียงร้านพิซซ่าโดมิโนที่ระบุว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา นายแพ็ดดอคสั่งพิซซ่า 14 ครั้ง ทุกครั้งเป็นหน้าเห็ดเพิ่มชีส แต่พูดคุยหยอกล้อกันดีกับพนักงานส่งพิซซ่าว่าสั่งให้คู่รัก ไม่ได้กินเองเพราะพยายามลดน้ำหนัก รวมถึงนายแพ็ดดอคยังให้ทิปดีมาก.