8 ต่อ 1 มีความผิดจริง 9 ต่อ 0 ไม่รอลงอาญาบันทึกไว้อีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ มติองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินลงโทษ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ในความผิดมาตรา 157 ฐานไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวโทษจำคุก 5 ปี ให้ออกหมายบังคับคดี นำตัวมารับโทษตามคำพิพากษาทั้งนี้ ศาลชี้ว่า ในการดำเนินโครงการรับจำนำ ข้าวเปลือกทั้ง 5 ฤดูกาลผลิต แม้ว่าจะพบความเสียหายหลายประการ แต่เป็นความเสียหายที่เกิดจากฝ่ายปฏิบัติ จำเลยในฐานะประธาน กบข.ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อป้องกันความเสียหายไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มโครงการ ปรับปรุงหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติเป็นระยะกรณีความเสียหายส่วนนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบแต่ในประเด็นเรื่องการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ศาลชี้ชัดเลยว่า พฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าจำเลยทราบว่าสัญญาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ระงับยับยั้งปล่อยให้มีการส่งมอบข้าวตามสัญญาให้รัฐวิสาหกิจจีนต่อไปอีก อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับผู้อื่นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ลงโทษจำคุก 5 ปีสรุปการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายไม่ผิดแต่เจ๊งเพราะการระบายข้าวแบบจีทูจีเป็นกรรมที่โยงต่อเนื่องกับความผิดของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ และพวก ที่ถูกศาลพิพากษาไปก่อนหน้านี้ต้องโทษจำคุกอ่วมคนละหลายสิบปีเป็นบรรทัดฐานที่แสดงถึงสิ่งที่นายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบกับพฤติกรรมทุจริตของรัฐมนตรี โดยเฉพาะเมื่อรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลที่ส่งผลเสียหายต่องบประมาณแผ่นดินจำนวนมหาศาลนโยบายดี แต่มีพวกแฝงเจตนาชั่ว ก็ต้องรับชะตากันไปและตามรูปการณ์ที่ทุกอย่างเริ่มมีความชัดเจนขึ้นภายหลังรู้ผลคำพิพากษาคดีจำนำข้าว พร้อมๆกับกระแสข่าวของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ที่ “ล่องหน” ไปนานนับเดือนโดยการยืนยันจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ระบุ ได้รับรายงานจากกระทรวงการต่างประเทศอย่างไม่เป็นทางการยืนยันว่า อดีตนายกฯหญิงพำนักอยู่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สำทับด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ที่ยอมรับว่า ทางการดูไบยืนยันและขอความร่วมมือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะไม่ยุ่งกับทางการเมืองอีกรู้ผลคดี รู้แหล่งกบดานตามสถานการณ์จากนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องของกระบวนการตามขั้นตอนกฎหมายที่บังคับไว้ ในส่วนของรัฐบาลไทยก็ต้องดำเนินการนำตัวอดีตนายกฯหญิงมารับโทษตามคำพิพากษาแต่ปัญหาก็คือ ดูไบไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับไทยอย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีประเด็นของการถอนหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่วันนี้ตกอยู่ในสถานะผู้ต้องหาหลบหนีคดีศาลไทยทำให้เดินทางไปไหนมาไหนไม่ได้เหมือนปกติในขณะที่ฝ่ายของอดีตนายกฯหญิงก็ต้องเดินหน้ากระบวนการขอลี้ภัยการเมือง ตามที่มีกระแสล่าสุดไปพำนักอยู่ที่ประเทศอังกฤษขอสิทธิพำนักถาวรในเมืองผู้ดีแต่ทั้งนั้นทั้งนี้ โดยเงื่อนสถานการณ์ที่แตกต่างจากพี่ชาย เพราะกรณีของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตรนั้นโดนรัฐประหารยึดอำนาจในขณะบินไปปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ จึงเข้าเงื่อนไขการลี้ภัยทางการเมืองแต่เรื่องของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์นั้น ภายหลังการโดนปฏิวัติก็ยังได้รับอนุญาตจากรัฐบาลทหาร คสช.ในการใช้ชีวิตในฐานะพลเรือนได้อย่างปกติเสรีมีการเคลื่อนไหวสร้างกระแสทางการเมืองเป็นระยะมันจึงก้ำกึ่งว่าจะเข้าข่ายการลี้ภัยทางการเมืองหรือไม่เรื่องของเรื่อง จุดนี้ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญ ถ้าประเทศอังกฤษปฏิเสธการลี้ภัย นั่นก็จะทำให้อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ตกอยู่ในสถานะลำบาก สูญเสียสถานะในประเทศไทยและยังต้องสูญเสียความชอบธรรมในต่างประเทศแต่ตรงกันข้าม ถ้าประเทศอังกฤษยอมให้สิทธิในการลี้ภัยทางการเมืองกับอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยที่มาจากการเลือกตั้งนั่นก็เท่ากับการไม่ยอมรับกระบวนการต่างๆที่เกิดขึ้นกับ “ยิ่งลักษณ์” ในประเทศไทยหรืออีกนัยก็คือมองว่า เป็นแค่การกลั่นแกล้งทางการเมืองนี่แหละเรื่องใหญ่ เพราะต้องไม่ลืมว่าอังกฤษคือดินแดนต้นแบบของโลกเสรีประชาธิปไตยระบบรัฐสภา ในความหมายยิ่งเป็นการตอกย้ำภาพของเผด็จการในเมืองไทย“ยิ่งลักษณ์” จะได้สถานะความชอบธรรมในเวทีโลกทันทีจุดนี้เดาทางได้ ไฟต์บังคับฝ่ายต้าน “ทักษิณ” ทั้งกลุ่มพันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปัตย์ต้องช่วยกันตีปี๊บประจานดักคอดักทาง กดดันไม่ให้อังกฤษยอมรับเงื่อนไขการขอลี้ภัยต้องไล่บี้พี่น้องตระกูลชินฯไม่ให้มีที่ยืนแต่เรื่องของกฎหมาย เงื่อนไขการลี้ภัยก็ว่าไปตามขั้นตอนกระบวนการ ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่สถานการณ์เบื้องหน้า ณ วันนี้ มันมีเครื่องหมายคำถาม ปรากฏการณ์จากการตัดสินจำคุก “ยิ่งลักษณ์” ในคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวจะมีผลต่อแรงกระเพื่อมภายในประเทศรุนแรงระดับไหนในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยที่ได้รับความนิยมจากประชาชนเลือกตั้งด้วยคะแนนท่วมท้น แต่สุดท้ายโดนรัฐประหารยึดอำนาจแล้วก็ต้องโทษถึงขั้นจำคุกเพราะความผิดพลาดในการบริหารแน่นอนว่า ผลในทางกฎหมายทุกฝ่ายต้องยอมรับกระบวนการยุติธรรมขื่อแปบ้านเมือง แต่เรื่องของอารมณ์ความ รู้สึกของคน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สนับสนุน “ยิ่งลักษณ์”มันไม่แน่ว่าจะลบล้างอาการ ค้างคาใจกันได้สักแค่ไหนและจุดที่จะวัดกันได้ มันก็คือผลของการลงคะแนนเลือกตั้งในครั้งต่อไปตรงนี้เองที่นำมาซึ่งเครื่องหมายคำถาม ตระกูลชินวัตรจะเอายังไง จะสู้ต่อหรือไม่ หรือว่าจะวางมือยอมหมอบให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบในมุมหาก “ทักษิณ” ยอมจบ รัฐบาล คสช.ก็เดินหน้าบริหารต่อตามโรดแม็ปไปสู่การปฏิรูปแต่ถ้าลุยสู้ต่อ ก็ถือเป็น 2 แรงบวกของพี่น้อง “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์”ด้วยสไตล์ของ “นายใหญ่” ที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ โดยเฉพาะงานนี้เป็นรายของ “น้องปู” ที่ต้องโดนชะตากรรมโหดเพื่อพี่ชาย การปล่อยให้น้องรับกรรมโดยไม่ทำอะไรมันอธิบายข้อครหาใช้น้องตายแทนลำบากตามยุทธการหนีไม่พ้นเหลี่ยมถนัด การปลุกคะแนนสงสารอดีตนายกฯหญิงที่โดนกระทำทางการเมือง ได้รับความไม่เป็นธรรมจากการทำเพื่อชาวนาทำสงครามชิงกระแสผ่านโซเชียลมีเดีย ปลุกเร้ามวลชน ดิสเครดิตรัฐบาล คสช.ในเวทีโลกเปิดแนวรบจากนอกประเทศถล่มคนในเมืองไทยและนั่นก็จะต้องเจอกับยุทธการย้อนศรจากฝ่ายคุมเกมอำนาจ การใช้กฎหมายจัดการกับสารพัดคดีของลูกข่าย “ทักษิณ” ที่ค้างอยู่ในกระบวนการยุติธรรมที่สำคัญหนีไม่พ้นคิวของ “เสี่ยโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน “นายใหญ่” ที่จ่อโดนเอี่ยวคดีทุจริตการปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทยให้กลุ่มกฤษดามหานครโดยรูปการณ์มันก็น่าจับตาจาก “ทักษิณ” ถึง “ยิ่งลักษณ์” ตระกูลชินวัตรเสียขุนไปแล้ว 2 ตัวแพ้ไปแล้วหลายกระดานในสถานการณ์ที่ “เสี่ยโอ๊ค” เป็นตัวประกัน “ทักษิณ” จะยอมแลกขุนอีกหรือไม่พร้อมจะไปอยู่ต่างประเทศกันหมดเลยหรือเปล่า.“ทีมการเมือง”