ในทางพระพุทธศาสนา ความกลัว หรือภยาคติ เป็นหนึ่งในสี่อคติ ผู้มีอำนาจมักใช้ในการกำราบผู้คนในความปกครอง แต่หาก “กลัว” มีมากเกินไป ก็มักทำให้ความคิดไขว้เขว มองปัญหาไม่เห็นความจริง
มนุษย์เราคุ้นเคยกับสัตว์ใกล้ตัว มีสำนวนเปรียบเทียบมากมาย เช่น โง่เหมือนควาย แมวขโมยปลาย่าง หมาเห่าใบตองแห้ง ฯลฯ
เมื่อพูดถึงความกลัว แปลก ที่มนุษย์ เลือกใช้กุ้ง
เรากินกุ้งกันบ่อยๆ พวกเด็กมักชอบเด็ดหัวกุ้งทิ้ง แกะเปลือกเลือกกินแต่เนื้อ แต่ผู้ใหญ่หลายคนชอบกินหัวกุ้ง เพราะรสชาติซับซ้อนกว่า
เด็กๆเด็ดหัวกุ้งทิ้ง เพราะส่วนหัวกุ้งรุงรังมีก้อนดำๆ ทั้งหนวดก็ยาว เด็กบางคนไม่รู้ ก้อนดำที่เห็นนั้น คือกระเพาะขี้ เมื่อรู้กันว่า กระเพาะขี้ของกุ้งอยู่่ที่หัว คนก็เอาไปเปรียบเทียบกับคนขี้ขลาดตาขาว ตกใจง่าย
ใช้เป็นสำนวน “ตกใจจนขี้ขึ้นสมอง”
ส.พลายน้อย เล่าไว้ในหนังสือ เกร็ดภาษา หนังสือไทย ธรรมชาติของกุ้งตกใจง่าย เมื่อได้รับแรงกระเทือน ก็จะดีดตัวหรือเต้นทันที
ใครที่ได้ยินได้ฟังอะไร แล้วไม่พอใจ ลุกขึ้นเอะอะอาละวาด เขามีสำนวนเรียกกันว่า “กุ้งเต้น”
อาจมีผู้สงสัย รู้ได้อย่างไร กุ้งตกใจแล้วขี้ขึ้นที่หัว ถ้าคิด
เป็นเหตุเป็นผลเป็นธรรมชาติ ก็คงพูดกันยืดยาว ส.พลายน้อย
สรุปว่า เรารู้เรื่องนี้จากนิทานปรัมปรา เล่าต่อๆกันมา
เล่ากันว่า ครั้งดึกดำบรรพ์ กุ้งมีแต่ก้าม ป้องกันตัวตามมีตามเกิด จึงถูกสัตว์อื่นรังแกเสมอ คราวหนึ่ง พระแม่อุมาเสด็จประพาสทางน้ำ กุ้งเข้าไปร้องทุกข์ อยากจะหาอาวุธไว้สู้ศัตรู
กุ้งมโนรูปแบบอาวุธที่อยากได้ ขอให้มีเลื่อยสองคมปลายแหลมครอบหัว ส่วนหางขอหอกแหลม พระแม่อุมาก็ประทานให้
...
ได้อาวุธแล้ว กุ้งก็กำเริบเสิบสาน เจอเรือสำเภาแล่นผ่าน ก็เข้าไปใช้อาวุธเจาะท้องเรือ กุ้งหวังให้เรือจมจะได้กินเนื้อคนในเรือ (แสดงว่ากุ้งตัวใหญ่มากๆ)
พวกเรือสำเภาร้องทุกข์ “เจ้าหมาจ่อ” แถวแม่กลองบ้านผม เรียก “เจ้าแม่อาม้า” เจ้าหมาจ่อกราบเรียนพระอิศวร พระอิศวร รู้พระอุมาเป็นต้นเรื่อง หันไปสั่งให้แก้ไข
พระอุมาสั่งพญาอนันตนาคราช ให้แผลงฤทธิ์ทำให้น้ำทะเลปั่นป่วน เกิดพายุอึงคะนึง
กุ้งซึ่งมีความผิดติดตัวอยู่แล้ว ก็ตระหนกตกใจ ถึงขนาดกระเพาะอาหารเก่าใหม่ ย้ายที่ขึ้นไปอยู่บนหัว
ผมหาเรื่องกุ้ง เรื่องสนุกๆเบาสมองมาเล่า ซื้อเวลาความกลัวเจ้าโควิด-19 ไปได้พักหนึ่ง แต่ความจริงตั้งใจ อยากให้ผู้มีอำนาจทบทวนนโยบายใช้ความกลัว ขู่ให้ผู้คนตระหนก หลีกโรคร้าย
ถึงวันนี้ สถานการณ์ชี้ชัด ความกลัว ถึงขนาดปิดเมือง ปิดงาน ปิดร้านอาหาร ฯลฯ นั้น ส่งผลทำให้คนอดตาย
มีคนจนๆมากมาย กลัวอดตายมากกว่ากลัวป่วยตาย จึงเป็นตัวแพร่เชื้อโควิด–19 แบบจำใจ เพราะไม่มีทางเลือกอื่น
วันนี้ บ้านเมืองของเรา เชื้อโรคแพร่กระจาย เราสู้ไม่ไหว ถึงขนาดกรุงเทพฯต้องส่งออกเชื้อไปบ้านนอก
ผมอยากให้พิจารณา พลิกนโยบาย เปลี่ยนความกลัว เป็นความกล้า
กล้าอยู่สู้โรคในสถานที่นี้ต่อไป เปิดเมืองให้ทำมาค้าขาย ให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศ ประเทศเก่งๆอย่างอังกฤษ หรือสิงคโปร์ เขาก็ทำเป็นตัวอย่างไว้แล้ว ผลก็เห็นชัดเจน สถานการณ์เศรษฐกิจเขาดีขึ้น
ปล.อย่าลืม คาถา กินร้อน ช้อนกลาง ล้างเมือง เว้นระยะห่าง ใช้ผ้าคาดปาก ฯลฯ แล้วมาวัดดวงกัน เราจะอยู่รอดปลอดภัยได้แค่ไหน ไหนๆก็ไหนๆ แล้วนี่!
กิเลน ประลองเชิง