โควิด-19 ยังไม่จบ
แนวรบใหม่เริ่มต้น
หากสังเกตกันให้ดีสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้นและเป็นไปนั้นจะเห็นได้ประเทศระดับมหาอำนาจจะเกิดรอยปริแยกอย่างเป็นรูปธรรมชัดขึ้นทุกที
จากที่เคยเกาะกลุ่มกันอย่างหลวมๆ เอาชัดๆ ก็ 2 ค่ายจีน-รัสเซีย พวกหนึ่ง อีกพวกก็สหรัฐฯ อังกฤษ ยูโรที่ทำสงครามเย็นในรูปแบบการค้า การลงทุน ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
แต่โควิด-19 มาตอกย้ำความกระชับอย่างแนบแน่นเปิดหน้าเปิดตาไม่เป็นอีแอบกันแล้ว คือให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย
ปรากฏการณ์ที่เห็นกันชัดเจนก็คือ “สหรัฐฯ-อังกฤษ” คู่หูผู้รู้ใจกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งคงมิอาจแยกจากกันได้
วันนี้ทั้ง 2 ประเทศ แสดงตัวตนชัดเจนหมายหัว “จีน” คือศัตรูอันดับหนึ่งด้วยการออกมาตรการที่สอดรับกันอย่างต่อเนื่อง
ทั้งแทรกแซง กีดกัน บีบบังคับ ทุกรูปแบบ
กฎหมายใหม่ๆ การค้า สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตยถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อตอบโต้อีกฝ่ายหนึ่งด้วยการหยิบยกเหตุผลต่างๆนานา
ยังหมายรวมไปถึงประเทศอื่นๆ ที่รู้สึกว่าเป็นคนละพวกหรือพวกที่ไม่มีความชัดเจนว่าจะอยู่ฝ่ายไหน
หรือบีบบังคับทางอ้อมเพื่อให้เลือกข้างอย่างชัดเจน
อย่าง “ฮ่องกง” นั้นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดถึงขนาดสหรัฐฯออกกฎหมายเอง เพื่อเข้าไปแทรกแซงด้วยข้ออ้างคำว่าประชาธิปไตย
ยิ่งจีนแก้ลำด้วยการออกกฎหมายความมั่นคง เพื่อที่จะเข้าไปตั้งหน่วยงาน นำกองกำลังเข้าไปในฮ่องกงได้ เพราะถือว่าเป็นประเทศเดียวกันแค่ 2 ระบบเท่านั้น
ด้วยการใช้วิธีการต่างๆที่คิดว่ามีความเหนือกว่าในทุกรูปแบบ เมื่อได้รับผลกระทบมากเข้าก็ต้องตัดสินใจไปใน
ทางใดทางหนึ่ง
...
“อังกฤษ” ก็รับลูกด้วยการให้สิทธิพิเศษกับชาวฮ่องกงที่มีปัญหาทางการเมือง
แค่ “ลิง” เก็บมะพร้าวก็ถือสาหาความว่าไทยทารุณสัตว์น่ารังเกียจสั่งการห้ามนำสินค้าอันเป็นผลผลิตจากมะพร้าวขึ้นห้าง
อ้างข้อมูลจากเอ็นจีโอแล้วก็สบคบคิดกัน
เรื่องนี้คงมองกันอย่างผิวเผินไม่ได้แต่มันบ่งบอกถึงยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจทั้งสหรัฐฯ และอังกฤษที่ต้องการเขย่าโลกอีกครั้งหนึ่ง
ด้วยแนวนโยบายด้านต่างประเทศของไทยนั้นสามารถคบหาสมาคมได้ทั้ง 2 ฝ่ายมายาวนานแล้ว พูดง่ายๆ คือรักษาสมดุลได้ค่อนข้างดีจึงอยู่รอดปลอดภัยมาตลอด
แต่เมื่อเวลาที่ช้างสารชนกันมันจึงวางตัวได้ยากลำบาก
ภูมิภาคอาเซียนนั้นหลายประเทศถือข้างแน่นอนแล้วแต่อีกหลายชาติยังคบค้า 2 ข้าง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของโลกด้วยซ้ำไป
“ไทย” นั้นอยู่เป็นศูนย์กลางภูมิภาคถือเป็นยุทธภูมิที่ทั้ง 2 ฝ่ายให้ความสำคัญจึงเป็นที่หมายปองของทั้ง 2 ฝ่าย
ยิ่ง “จีน” กับ “ไทย” คบหากันแบบบ้านพี่เมืองน้อง ซึ่งเราได้รับความช่วยเหลือมาตลอดในฐานะชาติเล็กกว่าจึงถูกมองว่าเป็นประเทศที่ต้อง “จับตา” เป็นพิเศษ
จากนี้ไปคงจะมีลูกตามออกมาเรื่อยๆ ที่ไทยและประเทศอื่นๆ ซึ่งถูกมองว่าไม่มีความชัดเจนจะต้องถูกกดดันด้วยกลวิธีการต่างๆนานาต่อไป
เป็นปฐมบทใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้!
“สายล่อฟ้า”