เส้นทางเด็กหนุ่ม “ศิลปิน” ผู้มีข้อจำกัดด้านร่างกาย แต่กลับใช้ข้อจำกัดนี้เป็นแรงผลักดันให้เกิดความขยันหมั่นเพียรฝึกฝน ด้วยการใช้อวัยวะที่มีอยู่ ปาก ไหล่ และเท้า จนกลายเป็นความสามารถพิเศษ รังสรรค์ผลงานศิลปะได้อย่างอัศจรรย์กระทั่งชีวิตของ เอกชัย วรรณแก้ว หรือ “พี่เอก” พลิกผันกลายเป็นที่ยอมรับ...ในวงการศิลปะทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากการส่งผลงาน เข้าร่วมแสดงงานศิลปะนานาชาติ ทำให้ใช้ศิลปะนี้เลี้ยงชีพตลอดมา...แต่เมื่อประสบความสำเร็จแล้วก็ยังย้อนมองกลับไปถึง “ผู้ด้อยโอกาส” ในการนำเงินบางส่วนจากรายได้ในการ “วาดรูป” ช่วยเหลือคนอื่นที่เป็นการส่งมอบโอกาสด้วย “โครงการบ้านศิลปะเอกชัย วรรณแก้ว ศิลปะเพื่อผู้ด้อยโอกาส” กลายเป็นคนต้นแบบ “ศิลปินนักสร้างแรงบันดาลใจ” คอยเติมไฟให้กับคนย่อท้อ หมดหวัง...หากย้อนภาพความทรงจำ “เอกชัย วรรณแก้ว” ที่กลายเป็นความปลาบปลื้มของคนไทยทั้งประเทศ...ในปี 2555 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ม.เทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา... คราวนั้น...ได้เสด็จลงจากที่ประทับ เพื่อพระราชทานปริญญาบัตรแก่ “บัณฑิตหนุ่มร่างเล็กพิการ” ที่ใช้ไหล่รับแทนมือ เพราะไร้แขนสองข้าง มีเพียงเท้าสั้นๆเท่านั้น อีกทั้งยังทรงมีพระปฏิสันถารเกี่ยวกับเรื่องการดำรงชีวิต และได้ชมเชยว่าเป็นแบบอย่างให้กับประชาชนทั่วไป...เรื่องราวชีวิตของศิลปินนักสร้างแรงบันดาลใจข้างต้นนี้ “ทีมข่าวสกู๊ป” มีโอกาสได้ติดตามภารกิจในการออกช่วยเหลือแจกจ่ายข้าวสาร อาหารแห้ง และสิ่งของจำเป็นให้กับ “ผู้ยากไร้” ที่กำลังเดือดร้อนจากผลกระทบในช่วงโรคโควิด-19 ระบาดขณะนี้ในหลายพื้นที่...ตั้งแต่พุทธมณฑลสาย 3 พุทธมณฑลสาย 4 เขตหนองแขม เขตหนองภาษีเจริญ ชุมชนใต้สะพานพระราม 7 ชุมชนใต้สะพานพระราม 8 และชุมชนริมทางรถไฟตลิ่งชันในช่วงหยุดพักแจกสิ่งของนี้ “พี่เอก” เล่าว่า ในช่วงโควิด-19 ระบาดนี้มีผู้เดือดร้อนมากมาย จึงจัดโครงการ “ยิ่งให้ยิ่งได้” ด้วยการเขียนภาพจำหน่ายหารายได้ในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบนี้เพราะตัวเองก็เคยเผชิญกับปัญหาชีวิตลักษณะเช่นนี้มากมาย ก่อนจะมายืนในอาชีพ “ศิลปินนักวาดภาพอิสระ” และเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ในองค์กรภาครัฐและเอกชน รวมทั้งสถาบันการศึกษาสาเหตุ “ร่างกายพิการนี้” ตั้งแต่จำความได้ก็มีข้อสงสัยเช่นกัน เพราะมีรูปร่างไม่เหมือน “พี่ชายและพี่สาวทั้ง 4 คน” จนมีอายุ 5 ขวบ ได้สอบถาม “พ่อแม่” แต่มักไม่มีคำตอบชัดเจนแต่ความเป็นไปได้คือ...“ครอบครัว” อาศัยอยู่ อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ มีอาชีพเกษตรกรรมด้วยการทำไร่ทำนา ที่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ในระหว่างนี้เอง ...“แม่ตั้งท้อง” ที่ยังคงทำงานเกษตรปกติ อาจเป็นไปได้ที่รับ “สารเคมี” มีผลต่อ “การตั้งครรภ์” ทำให้เป็นคนไม่มีแขนและขาก็สั้นนี้... เรื่องนี้...เป็นสาเหตุไม่กล้าออกจากบ้านเพราะกลัวถูกล้อเลียน หรือกลั่นแกล้งให้รู้สึกอับอาย จนมีพัฒนาการ...ช่วยเหลือในการอาบน้ำ แต่งตัว กินข้าว ทำความสะอาดบ้าน และพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้อยู่บ้าง กระทั่งอายุ 6 ขวบ...เริ่มต้องการ “เรียนหนังสือ” เพื่อจะได้เล่นกับเพื่อนๆ และอยากอ่านออก เขียนได้เหมือนคนอื่นแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ได้เป็นอย่างที่ “ฝัน” เมื่อผู้อำนายการโรงเรียนยุคนั้น...ปฏิเสธไม่ยอมรับ “เด็กพิการ” เข้าเรียนในโรงเรียนคนปกติ ถ้าหากต้องการ “การเรียนหนังสือ” ควรไปโรงเรียนสอนคนพิการ...ตอนนั้นยอมรับไม่เข้าใจว่า...“ความพิการคืออะไร” เพราะไม่เคย ถูกคนล้อเลียนมาก่อนเลย ทำให้เป็นครั้งแรกที่ “รู้สึกเจ็บปวดที่สุดในชีวิต” ในความพิการนี้กลับไม่ได้ “รับสิทธิเท่าเทียมกับเด็กทั่วไป” แต่เรื่องนี้ก็ไม่ทำให้ “ย่อท้อ” กลับเป็นแรงผลักดันในการเรียกร้องสิทธิที่ควรได้รับเหมือนคนอื่น มีการเรียกร้องสิทธินี้ยาวนานกว่า 6 ปี จนปรับเปลี่ยน ผอ.โรงเรียนคนใหม่ ทำให้ได้เข้าเรียนหนังสือชั้น ป.1 ตอนมีอายุ 13 ปีแล้ว และใช้โอกาสที่ได้รับนี้ “ตั้งใจเรียน” ฝึกฝนในการใช้เท้าเขียนหนังสือ และวาดการ์ตูนส่งผลให้สามารถเรียนหนังสือได้เร็วกว่าเพื่อนชั้นเดียวกันส่วนบรรยากาศในโรงเรียน “ทุกคนเข้าใจดี” มีแต่ “คนรัก” ที่ให้การช่วยเหลืออยู่เสมอ มีเพียงบางครั้ง “น้องชั้นอนุบาล” มีข้อสงสัยด้วยความไร้เดียงสา มักมาสอบถามบ่อยๆ แต่ก็มีวิธีอธิบายให้น้องๆ เข้าใจด้วยดี...และมีโอกาสเรียนในโรงเรียนเทคนิค สาขาวิชาช่างอิเล็กทรอนิกส์ แต่รู้สึกอึดอัดไม่มีความสุข เพราะต้องท่องสูตรอิเล็กทรอนิกส์ หากวันใดได้เรียน “ศิลปะ” กลับมีความสุขสบายใจเสมอ ทำให้ตัดสินใจหันมาเรียน “ศิลปะ” และเรื่องนี้เป็นกระจกสะท้อนให้ญาติใกล้ชิดคัดค้าน...เพราะอย่างน้อย...“การเรียนช่างอิเล็กทรอนิกส์” สามารถเปิดร้านซ่อมในชุมชนหาเงินได้ แต่ “ผู้เป็นพ่อ” กลับไม่สนใจคำพูดคัดค้านนั้น อีกทั้งยังสนับสนุนให้เรียนในสิ่งที่ตัวเองรัก ทำให้จุดประกายในการ “ฝึกฝนวาดรูป” ให้เกิดความชำนาญ มีผลงานสอบได้ “เกรดเอ” มาตลอด...อีกทั้งยังได้เป็นตัวแทนการแข่งขัน “วาดรูประดับจังหวัด” คราวนั้นไม่ใช่ “ตัวเก็ง” ด้วยซ้ำ เพราะถูกส่งตัวไปให้ครบจำนวนคนเข้าแข่งขันเท่านั้น แต่กลับ “ชนะเลิศ” จำได้ว่ารางวัลคือ ผ้าขนหนู สี กระดาษวาดรูป และเงินสด 300 บาท นำมาโชว์ในชุมชน จนเกิดความภูมิใจ และกลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความฝันในอาชีพศิลปิน...กระทั่งจบการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาศิลปกรรม “เกรดเฉลี่ย 3 กว่า”...ตอนนั้นคิดว่า “การเรียนพอแล้ว” เพราะเด็กต่างจังหวัดสามารถเรียนถึงระดับนี้ถือว่า “สูงสุดในชีวิตแล้ว” แต่ระหว่างนี้ “ครูที่ปรึกษา” เรียกมาคุยสนับสนุนให้เรียนต่อระดับปริญญาตรี ที่ต้องเข้าไปเรียนในกรุงเทพฯเท่านั้น...ยอมรับตอนนั้นรู้สึกว่า...“เป็นไปไม่ได้” เพราะไม่มีญาติพี่น้องในกรุงเทพฯ สิ่งสำคัญ “ครอบครัว” ไม่มีเงินส่งเรียนได้แน่นอน กระทั่ง “ครูที่ปรึกษา” ได้เข้ามาพูดคุยกับพ่อแม่ 3 ครั้ง แต่ไม่เป็นผล จนพี่ชายคนที่สอง ออกปากจะเป็นผู้ส่งเรียนเอง ด้วยการ “ขายวัวส่งเงินเป็นค่าเทอม” ทำให้สามารถสอบเข้าวิทยาลัยเพาะช่างได้สำเร็จในวันมอบตัว...มีเงินติดตัวมากรุงเทพฯ 3,000 บาท และขอพักที่วัดแห่งหนึ่งกลับถูกปฏิเสธ เพราะไม่มีเงินถวายปัจจัย 1 แสนบาท ขณะนั้นเงินนี้ซื้อที่ดินได้สิบกว่าไร่ด้วยซ้ำ ก่อนมี “รุ่นพี่ในหมู่บ้านเดียวกัน” ชวนไปอยู่ด้วย “แถวสี่แยกบ้านแขก” ที่ต้องเดินมาเรียนทุกวัน และตอนอยู่ปี 2 ย้ายมาอยู่บ้านพักในโรงเรียนเป็นกรณีพิเศษเส้นทางชีวิต...“การเรียนก็ไม่ได้เรียบง่าย” เพราะต้องดิ้นรนเพิ่มขึ้นหลายร้อยเท่า ทั้งค่าเทอม ค่ากินอยู่ ค่าอุปกรณ์การเรียน ในทุกวันต้องออกไป “นั่งเขียนรูป” ใต้สะพานพุทธ แต่ไม่มีใครจ้างเขียนเลยกว่า 6 เดือน จนมาทำงานเป็น “ลูกมือรุ่นพี่เพาะช่าง” ในการผสมสีแลกข้าว 1 กล่อง และเงิน 100 บาทมีวันหนึ่ง...งานเขียนรูปของรุ่นพี่คนนี้ล้นมือ เขียนไม่ทัน ทำให้มีโอกาสแสดงฝีมือเขียนเป็นรูปแรก...ได้ค่าตอบแทน 300 บาท ยอมรับว่า...รูปนี้ตั้งใจเขียนมากชนิดแบบราคา 300 บาท เขียนให้เป็นราคา 3 หมื่นบาท เริ่มมีคนเห็น “ฝีมือ” ทำให้มีงานเขียนรูปต่อเนื่องตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนมีโอกาสได้ออกรายการทีวีช่องหนึ่ง...ครั้งนี้...ได้รับพระกรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้า เพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชทานทุนให้เรียนต่อจนจบชั้นปริญญาตรีในที่สุดต่อมาในปี 2555...ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจาก สมเด็จ พระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินยัง ม.เทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา และพระองค์ตรัสว่า “อยากให้เรียนต่อในระดับปริญญาโท”และได้พระราชทานทุนการศึกษาให้มีโอกาสได้เรียนสาขาศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจนถึงทุกวันนี้ ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้นี่คือ...“ชีวิตชายผู้มีร่างกายพิการ” แต่ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา ได้ใช้พลังใจสยบข้อจำกัดทางร่างกาย กลายเป็น “ผู้ถูกยกย่อง” มีชื่อเสียงโด่งดังก้องโลก เพราะดำรงชีวิตด้วยความเพียรนี้ตลอดมา...