“การศึกษา คือหัวใจของการพัฒนา”
พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. บอกว่า “เด็ก” ที่เกิดขึ้นมาย่อมมีแนวโน้มทั้งทัศนคติและพฤติกรรมไปตามสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเขาเอง เด็กที่เกิดมาแล้วพบแต่ความรักความอบอุ่น ความสุขในครอบครัว ในสถานศึกษา ในสังคมนั้นๆก็มักจะกลายเป็นคนที่มีแต่ความสุข มีนิสัยใจคอโอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนอื่น มีความรักความเมตตาต่อทุกชีวิตที่อยู่รอบตัวของเขา
ในทางตรงกันข้ามกับเด็กที่เกิดมาแล้วได้พบแต่ความขัดแย้งภายในครอบครัว ภายในชุมชน...ภายในสังคมที่พวกเขาพักอาศัยอยู่ จึงเป็นเด็กที่มีนิสัยใจคอที่ก้าวร้าว ขาดความเมตตาปรานี ชอบกลั่นแกล้งหรือทำร้ายให้คนอื่นได้รับความเดือดร้อน เติบโตขึ้นมา...กลายเป็นเด็กที่มีแต่ปัญหา กลายเป็น “ภัยต่อสังคม” ไปในที่สุด
สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเด็กเองย่อมจะชักนำให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นเช่นใด ผู้คนในสังคมทุกระดับชั้นจะต้องตระหนักและให้ความใส่ใจกับการจัดสิ่งแวดล้อมที่ดีงามที่มีแต่ความสุขให้เกิดขึ้นกับลูกหลานของพวกเรา ถ้าทำได้เช่นนี้ก็จะเป็นการจัดระบบทางการศึกษาให้กับลูกหลานของเราไปในตัว นั่นคือการศึกษาและการเรียนรู้ที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการเรียนรู้และจดจำในห้อง “ชีวิต” ของพวกเขา ชีวิตเขาตลอดไป
“มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน” ตระหนักและให้ความสำคัญด้านการศึกษาแก่เด็ก...เยาวชนผู้ด้อยโอกาสในสังคม พวกเขาควรได้รับโอกาสทางการศึกษาที่ดี เพียงพอแก่วัย จึงได้จัดกิจกรรม...โครงการต่างๆขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือการศึกษาควบคู่กับการฝึกอบรมบ่มนิสัยมาตั้งแต่ปี 2527 จนถึงปัจจุบัน รวม 14 โครงการ
...
...เป็นการให้ความช่วยเหลือทั้งเด็กในชุมชนแออัด ซึ่งถือว่าเป็นคนจนในเมืองและเด็กในชนบทที่ห่างไกลความเจริญ มีทั้งเด็กอยู่ประจำ มีทั้งมาเช้าเย็นกลับ มีทั้งอุปการะส่งเสียให้ได้เรียนหนังสือในชั้นสูงๆขึ้นไปจนกว่าเด็กจะเรียนจบปริญญาตรีเป็นที่สุด รวมถึงคาดหวังว่าเด็กจะต้องเติบโตขึ้นมาเป็นเยาวชน...เป็นพลเมืองที่ดีให้กับครอบครัว ชุมชน สังคมโดยมี “ธรรมะครองใจ” ตลอดเวลา
...แต่ละวันสามารถมาสัมผัสวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ การเรียนรู้และความสุขที่พวกเขาได้รับภายใต้ไออุ่นของร่มเงาวัดวาในพระพุทธศาสนาจาก “ข้าวก้นบาตร”...พระวัดบางไส้ไก่ (วัดลาว) ได้ทุกวันตลอดทั้งปี ไม่มีวันหยุด
แต่ละวันเสียงเด็กวิ่งเล่นกันเจี๊ยวจ๊าว เสียงเด็กไหว้พระสวดมนต์ทุกวัน เสียงเด็กกล่าวคำปฏิญาณก่อนรับประทานอาหารภายในวัด เสียงเด็กท่องหนังสือ เรียนหนังสือ นี่คือใบบุญของวัดวาและพระพุทธศาสนาที่ได้กลายเป็น “ใบบุญ” ชุบชีวิตเด็กด้อยโอกาสในสังคมมาแล้ว 35 ปีเต็ม
การศึกษาเท่านั้นที่จะเป็นหัวใจอันสำคัญของการพัฒนาเด็กซึ่งเป็นลูกหลานของเรา ผู้มีจิตศรัทธาแจ้งบริจาคข้าวสาร อาหารแห้ง นม ขนม เครื่องเขียน เครื่องกีฬา อุปกรณ์การศึกษาหรือปัจจัยเป็นค่าอาหารกลางวันเด็กและทุนการศึกษาเด็ก ได้ที่มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน วัดบางไส้ไก่ ซอยมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ถนนอิสรภาพ ซอย 15 แขวงหิรัญรูจี เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600 โทรศัพท์ 0-2465-6165 โทรสาร 0-2472-4212 ได้ทุกวันไม่มีวันหยุด...บริจาคทรัพย์โอนเข้าบัญชี “มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน” ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาเจริญพาศน์ เลขที่บัญชี 126-0-36151-2 ประเภทสะสมทรัพย์ ใบอนุโมทนาบัตรของมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน สามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้ตามประกาศของกระทรวงการคลังลำดับที่ 788
ฝากประชาสัมพันธ์ดังๆด้วยว่า มูลนิธิกลุ่มแสงเทียนไม่มีการมอบหมายให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งไปเชิญชวนหรือเรี่ยไรให้ร่วมบริจาคแต่ประการใด ต้องการให้ความช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส ติดต่อได้ที่ มูลนิธิฯ โดยตรง
ตัดฉากไปมองตัวอย่างแนวทาง “การศึกษา” ของเด็กๆโรงเรียนเอกชนกันดูบ้าง
ยกตัวอย่าง “โรงเรียนตรังร่วมพัฒนา” ที่จังหวัดตรัง เป็นโรงเรียนระบบสองภาษาที่มุ่งเน้นในการสร้าง “โรงเรียนแห่งความสุข” ให้กับเด็กๆในทุกวัย
แนวคิดสำคัญคือ...จะทำอย่างไรให้เด็กๆมีความสุขกับการเรียนรู้
วธู สังขวิภา หรือ “ครูนุ้ย” ผู้รับใบอนุญาตและผู้จัดการโรงเรียน เล่าให้ฟังว่า โดยธรรมชาติแล้วเด็กตั้งแต่เกิดมีความอยากรู้อยากเห็น ช่างสงสัย ช่างถาม อยากทดลองสิ่งใหม่ๆเป็นต้นทุน เราจะทำอย่างไรให้เด็กๆ ใช้ความเป็นธรรมชาติของพวกเขามาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้อย่างมีความสุข โรงเรียนตรังร่วมพัฒนาจึงเน้นให้เด็กเป็นศูนย์กลางในการวางแผนการสอนและการคิดกิจกรรมที่เหมาะสมของแต่ละวัย...
“การเรียนแบบไม่ต้องอยู่นิ่ง การเรียนที่ทำให้เด็กๆรู้สึกตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา คือโจทย์ที่ทำให้โรงเรียนของพวกเราได้รับความสนใจมากขึ้นทุกปี”
หลักการหรือแนวทางการสอนเป็นสิ่งที่ไม่ตายตัว แต่ที่สำคัญคือทุกการเรียนรู้ต้องเหมาะสมกับวัยและเด็กๆในแต่ละกลุ่ม พัฒนาการที่ไม่เท่ากันของเด็กๆทำให้เรายิ่งต้องมีความคิดสร้างสรรค์ในการเรียนการสอน บางหัวข้อเด็กสามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้ แต่ในบางหัวข้อเราต้องแบ่งเด็กเป็นกลุ่มย่อยๆเพื่อจะได้สอนได้ตรงตามพัฒนาการ คุณครูจะมีการประชุมทำแผนการสอนด้วยกันทุกอาทิตย์เพื่อแบ่งปันไอเดีย เทคนิคหรือระดมความคิดในการสร้างประสบการณ์เรียนรู้ที่หลากหลาย สนุกและน่าสนใจ
โดยเฉพาะการที่โรงเรียนทำงานกับคุณครูชาวต่างชาติอย่างใกล้ชิด ทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ๆจากวัฒนธรรมในแต่ละประเทศ
นอกจากนี้ หัวใจสำคัญคือขนาดห้องที่เล็กและการดูแลที่ทั่วถึง ความปลอดภัยและความไว้วางใจจากเด็ก...ผู้ปกครองก็มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้เด็กๆกล้าที่จะเรียนรู้ ทำในสิ่งใหม่ๆมากยิ่งขึ้น เด็กๆจะมีไม่เกิน 20 คนต่อคุณครู 2 ท่าน คือครูไทยและครูต่างชาติเจ้าของภาษา คุณครูจะต้องศึกษา...รู้จักเด็กแต่ละคน ไม่ใช่เพียงด้านวิชาการอย่างเดียว แต่ต้องรู้จักนิสัย สิ่งที่ชอบและไม่ชอบ พื้นฐานครอบครัว...เรื่องชีวิตของพวกเขา
เพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้เด็กรู้ว่าเราคือส่วนหนึ่งของชีวิตเขา ดังนั้น...หากห้องเรียนของเรามีเด็ก 30–40 คน เราก็ไม่สามารถบรรลุความประสงค์นี้ได้
ครูนุ้ยคิดว่าโรงเรียนเป็นมากกว่าสถานศึกษา โรงเรียนคือสังคมแรกของเด็กๆ เราอยากให้สังคมของเราเป็นสังคมที่ดี เราก็ต้องสร้างสิ่งเหล่านั้นเป็นตัวอย่าง เหมือนกับเราอยากให้เด็กๆพูดเพราะ เราก็พูดเพราะๆ ให้ฟังเสียก่อน การสอนแบบสั่งให้ทำหรือบังคับโดยไม่อธิบายเหตุผลไม่สามารถใช้กับเด็กๆรุ่นนี้ได้อีกแล้วเพราะโลกของเขากว้างกว่าเราพวกเขาคือเด็กแห่งศตวรรษที่ 21...เราอยากให้เด็กทุกคนรู้สึกว่าตัวเองมีตัวตน มีสิทธิ์ มีเสียง
ถึงแม้เด็กแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน แต่ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขในสังคมของเขา...“การศึกษาไทย” คงจะก้าวไปไหนไม่ได้หากผู้ใหญ่ยังขาดความเข้าใจในธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กๆ
ถึงแม้จะมีงานวิจัยจากทั่วโลก แต่ประเทศไทยยังคงให้ความสำคัญถึงคะแนนสอบและค่านิยมมากกว่าพัฒนาการความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ของเด็กๆ การเร่งเรียนมีผลในระยะยาว กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็สายไปเสียแล้ว
ครูนุ้ยเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพ ถึงแม้อาจจะไม่ตรงใจผู้ปกครอง แต่เด็กทุกคนควรได้รับโอกาสในการค้นหาตัวเองและประสบความสำเร็จในแบบที่ตนเองต้องการ...จริงๆแล้ว “การปฏิรูปการศึกษา” ควรเริ่มจากการให้ความรู้กับ “ผู้ใหญ่” เสียก่อน.