การวิจัยศึกษาประวัติศาสตร์มนุษย์ก่อนหน้านี้ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ดึกดำบรรพ์สายพันธุ์นีแอนเดอร์ธัล (Neanderthals) มีชีวิตช่วงท้ายๆอยู่ราวๆ 40,000 ปี ที่แล้ว โดยหลงเหลืออยู่ประมาณ 1,000 คนเท่านั้น แต่ทีมนักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยยูทาห์ และนักศึกษาปริญญาเอกจากศูนย์มะเร็งมอนโร ดันอะเวย์ แอนเดอร์สัน (MD Anderson) แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกาเผยว่า ยากที่จะจินตนาการว่านีแอนเดอร์ธัลเหลืออยู่เพียง 1,000 คนบนโลก และได้นำเสนอผลการศึกษาวิจัยใหม่ที่แสดงให้เห็นว่า กลุ่มมนุษย์นีแอนเดอร์ธัลมีขนาดประชากรที่มากกว่านี้ และกระจายไปอยู่ในทวีปยุโรป ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลเดิมที่เชื่อกันมา

นักวิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลจากการลำดับดีเอ็นเอ โดยนำข้อมูลทางพันธุกรรมจากซากดึกดำบรรพ์มนุษย์นีแอนเดอร์ธัลและมนุษย์สายพันธุ์ลึกลับชื่อเดนิโซแวน (Denisovans) ซึ่งบางตำราอธิบายว่าเป็นญาติทางตะวันออกของมนุษย์นีแอนเดอร์ธัล มาเปรียบเทียบพร้อมกับชาวยูเรเซียและชาวแอฟริกันยุคใหม่ จากนั้นก็ใช้ชุดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ชื่อ legofit มาประเมินค่าเฉลี่ยของยีนมนุษย์นีแอนเดอร์ธัลที่ไหลสู่ประชากรยูเรเซียยุคสมัยใหม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ยืนยันว่ามีประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์

ข้อมูลดังกล่าวอธิบายถึงประวัติศาสตร์มนุษยชาติแนวทางใหม่ โดยเฉพาะการวิวัฒนาการเกี่ยวกับมนุษย์นีแอนเดอร์ธัลและมนุษย์เดนิโซแวน พบว่าทั้งคู่แยกตัวออกจากกันเมื่อ 744,000 ปีก่อน จากนั้นประชากรมนุษย์นีแอนเดอร์ธัลก็เติบโตจากหลักสิบขึ้นเป็นหลักหลายพันคน บางกลุ่มก็แยกตัวมาอาศัยอยู่ในแถบยูเรเซีย และมนุษย์ทั้ง 2 สายพันธุ์ต่างก็จับคู่อยู่กินกับบรรพบุรุษมนุษย์ยุคใหม่ที่ปรากฏตัวขึ้นในทวีปแอฟริกาเมื่อ 60,000 ปีก่อน อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเชื่อมั่นว่าการตรวจสอบยีนจะเป็นหนทางที่มีประสิทธิภาพความแม่นยำสูงขึ้นเรื่อยๆ.

...