“โรค”..ที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ โรคมะเร็ง, โรคหลอดเลือดในสมอง, โรคปอดอักเสบ, โรคหัวใจขาดเลือด และโรคเบาหวาน

แน่นอนว่า...เมื่อมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน

เมื่อศึกษาสาเหตุที่ทำให้เกิด 5 โรคร้ายที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุด พบว่าปัจจุบันวิถีชีวิตของคนเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยก่อนอย่างมาก มีทั้ง “ปัจจัยภายนอก” และ “ปัจจัยภายใน” ที่ทำให้คนเป็นโรคเร็วขึ้น... ง่ายขึ้นและ...มากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นโรคที่เกิดจากผู้ป่วยเอง

ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารผิดหลักโภชนาการ เช่น ชอบกินอาหารปิ้งย่าง ของทอด ของหมักดอง อาหารมันๆ...หวานจัดเกินไป รวมถึงรับประทานอาหารปรุงแต่งที่มีสารกระตุ้นการเกิดมะเร็งเข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่อง

ในยุคที่โซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนทำงาน ที่การสั่งงาน การตามงานสามารถติดตามเราไปได้ทุกที่ทุกเวลา ก็ทำให้บางคนไม่สามารถแบ่งเวลางานออกจากเวลาส่วนตัว ทำให้การพักผ่อนถูกละเลย...ทำให้ภาวะสมดุลของชีวิตเสียไป จนเกิดอาการ Burnout Syndrome...ภัยเงียบของคนทำงาน

ซึ่งก่อให้เกิดวงจรทำร้ายสุขภาพอย่างไม่สิ้นสุด เพราะเมื่อร่างกายและจิตใจขาดสมดุล ก็จะสะสมเป็นความเครียด ความอ่อนล้า ของร่างกายที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก

ภาวะเครียด...ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระเพิ่มสูงขึ้นในร่างกายอย่างรวดเร็ว

ทำให้เซลล์ต่างๆในร่างกายเสื่อมลง จนก่อให้เกิดโรคร้ายต่างๆตามมา

อีกทั้งเมื่อเกิดภาวะเครียดขึ้น หลายคนแทนที่จะหาทางออกด้วยการพักผ่อนอย่างมีคุณภาพ เช่น การนอนหลับ ฟังเพลง ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมงานอดิเรกที่สร้างสรรค์ กลับหันไปพึ่งการดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ เที่ยวดึกๆดื่นๆ พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนไม่หลับจนต้องพึ่งการใช้ยานอนหลับ

...

การพึ่งพาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เหล่านี้ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายสะสมอนุมูลอิสระทวีคูณขึ้นอีกหลายเท่า ในขณะเดียวกัน...สารต้านอนุมูล อิสระกลับลดลง เป็นวงจรที่ทำลายเซลล์ในร่างกายให้อ่อนแอลง จนเป็น สาเหตุสำคัญของการป่วยเป็นโรคร้ายโดยไม่รู้ตัว...มารู้ตัวอีกทีก็เป็นระยะของโรคที่รุนแรงไปแล้ว

ต้องเข้ารับการ “รักษา” จากแพทย์ในโรงพยาบาล...ตลอดทั้งชีวิต

ศ.ดร.นพ.ธัมม์ทิวัตถ์ นรารัตน์วันชัย คณบดีผู้ก่อตั้งสำนักวิชาเวชศาสตร์ ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นายกสมาคมเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ บอกว่า อนุมูลอิสระเป็นประจุลบที่ร่างกายปล่อยออกมาเมื่อเกิดการเผาผลาญอาหารรวมถึงที่รับมาจากภายนอกร่างกาย เป็นประจุที่สามารถทำลายเซลล์ของร่างกาย อย่างที่เราทราบกันดีว่า เซลล์ เป็นหน่วยพื้นฐานที่ทำให้อวัยวะและระบบต่างๆทำงานได้ปกติ

“เมื่อเซลล์ถูกทำลาย แน่นอนว่าผลที่ตามมาคือ ระบบในร่างกายและอวัยวะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเดิม เกิดเป็นภาวะที่เรียกว่า เซลล์เสื่อม อันนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บและภาวะ แก่ชราก่อนวัยอันควร”

โดยปกติเซลล์ทำหน้าที่สร้างพลังงานที่จำเป็นสำหรับร่างกายในการทำงานต่างๆ และเป็นหน่วยพื้นฐานของร่างกายในการสร้างผิวหนัง กล้ามเนื้อ กระดูก อวัยวะต่างๆ รวมถึงทำหน้าที่สร้างและซ่อมแซมอวัยวะต่างๆภายในร่างกาย เซลล์ในแต่ละส่วนของอวัยวะ...ก็ทำหน้าที่เหมือนพระเอกหลักของอวัยวะนั้นๆ

เช่น เซลล์หัวใจกระตุ้นให้หัวใจทำงาน เซลล์ตับอ่อนผลิตอินซูลิน ที่จะช่วยเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน

“เมื่อเซลล์บางเซลล์ถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระ ซึ่งโจมตีโปรตีนและดีเอ็นเอในเซลล์จนแตกสลาย ผนวกกับการที่เมื่อมีอายุมากขึ้น เซลล์ของเราเกิดการกลายพันธุ์และเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เซลล์ทำงานผิดปกติ...จนเกิดโรคร้ายและสัญญาณของความชราต่างๆ”

นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองและพบว่าการลดปริมาณแคลอรีที่เราบริโภค พร้อมกับลดเนื้อสัตว์ จะยืดอายุเซลล์ได้ เพราะโปรตีนบางชนิดในเนื้อสัตว์มีส่วนในการทำลายเซลล์ ทำให้เซลล์เสื่อมลงได้เช่นกัน

ดังนั้น...หัวใจของการที่จะทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันการเกิดโรคและชะลอวัยนั้น คือ การปกป้องดูแลเซลล์ให้สมบูรณ์แข็งแรงให้มากที่สุด

ศ.ดร.นพ.ธัมม์ทิวัตถ์ ย้ำว่า การชะลอวัยเซลล์และเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเซลล์นั้นทำได้หลายๆทาง แต่ทางที่จะทำได้อย่างง่ายๆคือ การลดปริมาณอนุมูลอิสระในร่างกาย นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกล้วนเห็นพ้อง ต้องกันว่า การป้องกันการเกิดโรคนั้นย่อมง่าย ประหยัด และมีประสิทธิภาพมากกว่าการรักษาโรค

จนทำให้ในยุคศตวรรษที่ 21 นี้ วงการแพทย์และสาธารณสุขทั่วโลกหันมาให้ความสนใจในการป้องกันโรคเพิ่มมากขึ้น จนเกิดการเรียนรู้ในสาขาวิชาใหม่ๆ เช่น เวชศาสตร์ชะลอวัย เวชศาสตร์ความงามและผิวพรรณ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์มีความรู้ในเรื่องการป้องกันโรค ส่งเสริมให้คนมีอายุที่ยืนยาวขึ้น

จนสามารถช่วยเหลือผู้คนตามแนวคิดที่ว่า “การป้องกันโรคดีกว่า การรักษาโรค”

จากความรู้ในเรื่องเวชศาสตร์ชะลอวัย แม้แต่ฝรั่งก็หันมาสนใจบำบัด และดูแลสุขภาพด้วยเวชศาสตร์ทางเลือกและเน้นการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ออแกนิก หรือสมุนไพรที่นำมาสกัดเป็นอาหารและยารักษาโรค เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ในร่างกาย

เมื่อพูดถึงอายุที่ยืนยาว คนส่วนใหญ่จะนึกถึง “เต่า” หนึ่งในสิ่งมีชีวิต ที่มีอายุยืนที่สุดในโลก มีอายุขัยถึง 200 ปี นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าในสิ่งมีชีวิตที่มีอายุยืนนานเหล่านี้มีเอนไซม์ชนิดหนึ่ง ชื่อว่า เอนไซม์ SOD (เอสโอดี) หรือ Superoxide Dismutase (ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส) สูงมากกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ ประเด็นน่าสนใจมีว่า...เอนไซม์ชนิดนี้สามารถ กำจัดอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ที่ทำให้เต่ามีอายุยืนยาว

ในร่างกายมนุษย์ก็มีเอนไซม์ SOD ตั้งแต่เกิด...แต่จะลดปริมาณลงเมื่ออายุได้ 25 ปีขึ้นไปและลดน้อยลงไปเรื่อยๆจนสิ้นอายุขัย จึงอธิบายได้ว่า...ทำไมคนเราถึงเริ่มแก่เร็ว เป็นโรคต่างๆได้ง่ายขึ้นเมื่อสังขารร่วงโรย

นายแพทย์สิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก และเวชศาสตร์ชะลอวัย เสริมว่าเมื่อเอนไซม์เอสโอดีในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว บวกกับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิตที่ขาดสมดุล การมีภาวะเครียดที่สูงขึ้นทำให้ร่างกายขาดสารต้านอนุมูลอิสระ ที่เพียงพอต่อการกำจัดอนุมูลอิสระที่เราได้รับทั้งจากภายนอกและเกิดขึ้นภายในร่างกายเรา...เป็นปัจจัยสำคัญต่อการป่วยเป็นโรคร้ายได้ง่ายขึ้น เป็นโรคขณะที่อายุน้อยลง

“ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์สามารถสกัดเอนไซม์เอสโอดีจากสารตั้งต้นจากธรรมชาติ ได้แก่ ผักและผลไม้ ได้แล้ว โดยการหมักบ่มผัก...ผลไม้ร่วมกับโปรไบโอติกส์...แบคทีเรียชนิดดี เป็นเวลา 180 วัน ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า...ไบโอซิมไบโอติก คัลเจอร์ จนได้เอนไซม์เอสโอดี และได้รับการพิสูจน์จากห้องปฏิบัติการระดับโลกแล้วว่ามีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่สูงที่สุด เหนือกว่าที่มีอยู่ในวิตามินซี วิตามินอี โค-เอนไซม์ คิวเทน กลูต้าไธโอน...”

รหัสลับสุขภาพดี...คัมภีร์ชะลอวัย ห่างไกลโรค เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ... การใช้ชีวิตให้สมบูรณ์พร้อม ทำให้ชีวิตสมดุล...มีสุขภาพที่แข็งแรง ทำงาน หนักแล้วก็ควรหาเวลาพักผ่อน การให้รางวัลชีวิตตนเองเป็นสิ่งสำคัญ

“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการรักษาต้นทุนชีวิตของเรา เมื่อเรามีสุขภาพกาย ...ใจที่แข็งแรง ก็จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น มีความสมดุลของชีวิตเพิ่มมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น อย่าลืมว่า...ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” คุณหมอสิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ ฝากทิ้งท้าย.