ด้วยพระปณิธานแน่วแน่ที่จะดำเนินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ในการฟื้นคืนชีวิตภูมิปัญญาผ้าและหัตถศิลป์ไทยให้กลายเป็นต้นทุนทางภูมิปัญญาในการประกอบอาชีพของประชาชนชาวไทย เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา” ไม่เพียงเสด็จฯไปทอดพระเนตรผลงานของกลุ่มทอผ้าพื้นเมืองในทุกภูมิภาคของประเทศไทย แต่ยังได้พระราชทานลายผ้าพระราชทานเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯหลากหลายรูปแบบ เพื่อยกระดับวงการผ้าไทยด้วยมูลค่าเพิ่มของผืนผ้า สร้างรายได้และความภาคภูมิใจกลับคืนสู่ชุมชน
เริ่มต้นจากการศึกษาค้นคว้าลวดลายผ้าโบราณในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และทรงนำมาออกแบบผสมผสาน จนเกิดเป็นลวดลายผืนผ้าต้นแบบที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์อันงดงาม ตั้งแต่ผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี, ผ้าบาติกลายปาเต๊ะร่วมใจเทิดไท้เจ้าหญิง, ผ้าบาติกลายป่าแดนใต้,ผ้าบาติกลายท้องทะเลไทย, ผ้าลายขิดนารีรัตนราชกัญญา, ผ้าลายดอกรักราชกัญญาและล่าสุดได้พระราชทานลายผ้าพระราชทาน “ผ้าลายชบาปัตตานี” เป็นของขวัญแก่ช่างทอผ้าชาวจังหวัดปัตตานี เพื่อสร้างอัตลักษณ์ สืบสานและต่อยอดภูมิปัญญาและงานหัตถศิลป์พื้นถิ่น ให้ดำรงคงอยู่คู่แผ่นดินไทยอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา” ได้เสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการและการจัดงานแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคใต้ ณ แหล่งสมาคมนายทหารสัญญาบัตร กองบัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย ตำบลบ่อทอง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี โดยมี “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย “สุทธิพงษ์ จุลเจริญ” ปลัดกระทรวงมหาดไทย, “ชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม” อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน, “อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์” อธิบดีกรมการปกครอง, “พลตรี ขจรศักดิ์ อินทร์ทอง” ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 46, “พลตำรวจตรี อาชาน จันทร์ศิริ” รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9, “พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว” ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15, “พาตีเมาะ สะดียามู” ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี, “ธนนนท์ นิรามิษ” ภริยารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, “ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ” นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย, “สมฤดี ขำเขียว” ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขากองพลทหารราบที่ 15 และประชาชนเฝ้าฯรับเสด็จอย่างใกล้ชิด
เมื่อเสด็จถึง “สมเด็จพระ เจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา” เสด็จเข้าสู่บริเวณนิทรรศการและการจัดงานแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคใต้ โดยมีกลุ่ม ผู้เฝ้าฯรับเสด็จขอพระราชทานคำแนะนำ จำนวน 30 กลุ่ม ได้แก่ ยาริงบาติก จังหวัดปัตตานี, รายาบาติก จังหวัดปัตตานี, บาติก เดอนารา จังหวัดปัตตานี, ซาโลมาปาเต๊ะ จังหวัดนราธิวาส, นินา ปาเต๊ะ จังหวัดนราธิวาส, Yozama บาติกแฮนด์เพ้นท์ จังหวัดสตูล, ธาตุดิน จังหวัดยะลา, กลุ่ม ME-D นาทับ จังหวัดสงขลา, กอร์ตานี จังหวัดสงขลา, กลุ่มวนิดากระจูด จังหวัดสงขลา, กลุ่มหัตถกรรมกระจูดวรรณี จังหวัดพัทลุง, กลุ่มศิลปาชีพหัวป่าเขียว จังหวัดพัทลุง, วิสาหกิจชุมชนหัตถกรรมแปรรูปกระจูดบ้านใหญ่ จังหวัดนราธิวาส, วิสาหกิจชุมชนกลุ่มจักสานต้นคลุ้มบ้านวังตง จังหวัดสตูล, สมาชิกศิลปาชีพฯ (งานจักสาน/ภาพปักซอย) จังหวัดนครศรีธรรมราช และนราธิวาส, สมาชิกศิลปาชีพฯ (งานเครื่องปั้นดินเผา) จังหวัดนราธิวาส, บาราโหม บรมซา จังหวัดปัตตานี, เยาวชนบ้านดี จังหวัดปัตตานี, Assama Batik จังหวัดยะลา, เก๋บาติก จังหวัดยะลา, กลุ่มสตรีตัดเย็บเสื้อผ้าตำบลสะเตงนอก จังหวัดยะลา, มัดย้อมรอญามิง จังหวัดยะลา, นารา บาติก จังหวัดนราธิวาส, กลุ่มบ้านบาติก จังหวัดนราธิวาส, กลุ่มสีพูบาติก จังหวัดพัทลุง, กลุ่มคนังมัดย้อม จังหวัดพัทลุง, กลุ่ม Young OTOP จังหวัดนราธิวาส, กลุ่มกระจูดบ้านโคกพยอม จังหวัดนราธิวาส, จักสานบ้านคลองปอม จังหวัดปัตตานี และห้องหัตถกรรม จังหวัดปัตตานี
ภายหลังจากทรงมีพระ วินิจฉัยและพระราชทานคำแนะนำเสร็จสิ้นแล้ว “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราช กัญญา” ได้พระราชทานลายผ้าพระราชทาน “ผ้าลายชบาปัตตานี” แก่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมพระราชทานแม่แบบพิมพ์ผ้าลายชบาปัตตานี แก่ “สุทธิพงษ์ จุลเจริญ” ปลัดกระทรวงมหาดไทย และพระราชทานลายผ้าพระราชทาน “ผ้าลายชบาปัตตานี” แก่ “พาตีเมาะ สะดียามู” ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี
ทั้งนี้ “ผ้าลายชบาปัตตานี” เป็นลายที่ทรงศึกษาค้นคว้าลวดลายพื้นถิ่นของจังหวัดปัตตานี โดยทรงนํามาออกแบบผสมผสานกับ “ลายดอกชบา” (Hibiscus ไฮบิสคัส) และ “ลายเถาไม้เลื้อย” ที่สื่อถึงวัฒนธรรมพื้นถิ่นของจังหวัดปัตตานี สร้างสรรค์ใหม่ขึ้นเป็น “ผ้าลายชบาปัตตานี” พระราชทานเป็นของขวัญแก่ช่างทอผ้าชาวจังหวัดปัตตานี เพื่อสร้างอัตลักษณ์ สืบสาน และต่อยอดภูมิปัญญาและงานหัตถศิลป์พื้นถิ่น ให้ดำรงคงอยู่คู่แผ่นดินไทยอย่างยั่งยืน เนื่องในโอกาสที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุครบ 3 รอบ 36 พรรษา พร้อมกันนี้ยังได้พระราชทานแบบชุดกลางวัน สำหรับสุภาพบุรุษ, แบบชุดกลางวัน สำหรับสุภาพสตรี, แบบชุดกลางคืน สำหรับสุภาพบุรุษ และแบบชุดกลางคืน สำหรับสุภาพสตรี รวม 6 แบบ
เมื่อกล่าวถึง “ดอกชบา” ถือเป็นดอกไม้ประจําจังหวัดปัตตานี มีอีกชื่อว่า “บุหงารายา” คำว่า “บุหงา” แปลว่า “ดอกไม้” ส่วน “รายา” แปลว่า “พระราชา” รวมความ “บุหงารายา” จึงมีความหมายถึง “ดอกไม้ของพระราชา” ในส่วนของ “ลายเถาไม้เลื้อย” มาจากลายฉลุของช่องลมจากวังเจ้าเมืองยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2438 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดย “พระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสุรสงคราม” เจ้าประเทศราชเมืองยะหริ่ง ลำดับ 3 ตัวเรือนไม้กึ่งปูน เป็นสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานระหว่างศิลปะพื้นเมืองชวาและยุโรป และลายช่องลม หรือมัสยิดรายอฟาฏอนี หรือมัสยิดจะบังติกอ เป็นสถาปัตยกรรมไม้แบบมลายูยุคเก่า ตกแต่งด้วยลวดลายสลักและเถาวัลย์พรรณพฤกษา และมีการผสมผสานลายช่องลมรูปทรงเรขาคณิต สร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ.2388-2399
ก่อนเสด็จฯกลับ “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา” ทอดพระเนตรการแสดงชุด “ระบำรองเง็ง” พร้อมการบรรเลงดนตรี โดย “วงอาเนาะบุหลัน” (ลูกพระจันทร์) นักเรียนโรงเรียนวัดสุวรรณากร อำเภอหนองจิก ซึ่ง “อาเนาะบุหลัน” คือ ดนตรีพื้นเมืองชายแดนใต้ ที่ได้รับอิทธิพลทางดนตรีมาจากวงบุหลันตานีของ “อาจารย์เซ็ง อาบู” และ “อาจารย์ขาเดร์ แวเด็ง” ศิลปินแห่งชาติชาวจังหวัดปัตตานี คำว่า “อาเนาะ” หมายถึง “ลูก” และ “บุหลัน” หมายถึง “พระจันทร์” ทั้งนี้ การแสดงของ “วงอาเนาะบุหลัน” เป็นการแสดงดนตรีเพลงพื้นเมือง (รองเง็ง) ที่มีอยู่ในแถบแหลมมลายู ประกอบไปด้วยนักดนตรีและนักแสดง ซึ่งเป็นนักเรียนระดับประถมศึกษา จำนวน 14 คน เครื่องดนตรีที่ใช้ คือ ไวโอลิน, แมนโดลิน, แอคคอร์เดียน, ฆ้อง, กลองรำมะนาใหญ่, กลองรำมะนาเล็ก, แทมโบลิน และมาราคัส ทำการแสดง 2 บทเพลง คือ 1. เพลงอูดังซามาอูดัง ซึ่งคำว่า “อูดังซามาอูดัง” หมายถึง “กุ้งก็เหมือนกับกุ้ง” คนเฒ่าคนแก่เปรียบเปรยกุ้งกับปลาทูว่ามีความต่างกัน สอนให้มองหาเพื่อนหรือคู่ชีวิตด้วยความระมัดระวัง และ 2. เพลงเมาะอินังลามา ที่สื่อความหมายถึง “แม่นม” หรือ “พี่เลี้ยง” เป็นเพลงเก่าแก่ “ลามา” หมายถึง “เก่าแก่” แต่บางครั้งก็เรียกชื่อเพลงนี้ว่า “กึมบังจีนา” ซึ่งหมายถึง “ดอกพุดที่กำลังแย้มบาน” การแสดงแบบเดิมเมื่อเริ่มการแสดงฝ่ายชายจะโค้งฝ่ายหญิงที่เป็นคู่เต้น พร้อมกับมอบผ้าเช็ดหน้าให้แก่ฝ่ายหญิง และขอผ้าคลุมไหล่ของฝ่ายหญิงมาคลุมไหล่ตนเอง ฝ่ายหญิงจะใช้ผ้าเช็ดหน้าโดยจับชายผ้าทั้ง 2 ชายไว้ ขณะเดียวกันก็เต้นหลบฝ่ายชายไปพร้อมกัน
นับเป็นการยกระดับวงการผ้าไทยด้วยมูลค่าเพิ่มของผืนผ้า เพื่อสร้างรายได้กลับคืนสู่ชุมชน อีกทั้งยังชุบชีวิตต่อลมหายใจของช่างทอผ้าให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี, มีเกียรติ และมีความภาคภูมิใจในตนเอง ตลอดจนสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ในการเข้ามาสืบสานงานที่บรรพบุรุษและชุมชนได้สร้างสรรค์เป็นมรดกอันล้ำค่าฝากไว้ให้แผ่นดิน.
ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
