นี่คือประเทศไทยที่มีความ เป็นอิสระ มีประเพณีวัฒนธรรมความเป็นชาติที่มี “สถาบันหลัก” เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวนำพาชาติอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้ คนไทยจึงต้องภาคภูมิใจในความเป็นไทย
ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้อยู่ในห้วงเวลาสำคัญคือ 4-5-6 พฤษภาคม 2562 ของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯได้บอกว่าตั้งแต่สมัยอยุธยาเรื่อยมาจนกระทั่งที่จะมีขึ้นในครั้งรัชกาลที่ 10 หัวใจหลักอยู่ที่ 3 พิธีสำคัญ
พูดแบบธรรมดาสามัญให้เข้าใจกันง่ายๆคือ
1 อาบน้ำ
2 รดน้ำ
3 สวมมงกุฎ
ตามพระฤกษ์วันเสาร์ที่ 4 พ.ค. 62 เวลา 10.00-12.00 น. เป็นฤกษ์ที่ต้องทำ 3 ขั้นตอนให้เสร็จคือ อาบน้ำ รดน้ำ สวมมงกุฎ
เมื่อเสร็จทั้ง 3 พิธีแล้วคนไทยจะได้ออกพระนามว่า “พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว” โดยไม่ต้องเอ่ยพระปรมาภิไธยเพราะรู้ว่าคือรัชกาลนี้
เมื่อพระมหากษัตริย์ตรัสอะไรก็ตามที่เป็นคำสั่งจะเรียกว่า “พระบรมราชโองการ” ไม่เรียกว่า “พระราชโองการ” เหมือนที่เรียกกันมาก่อนหน้านี้ 2 ปี
ช่วงเช้าวันที่ 5 พ.ค.62 พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในการพระราชพิธีเฉลิมพระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย
สถาปนาพระฐานันดรศักดิ์พระบรมวงศ์
16.30 น. เสด็จฯโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคไปยังวัดบวรนิเวศวิหาร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามและวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามเพื่อนมัสการพระพุทธปฏิมาประธานและพระบรมราชสรีรางคาร
การเลียบพระนครเป็นธรรมเนียมตั้งแต่สมัยโบราณที่จะต้องทำ 2 พิธีคือ 1 เลียบพระนครทางบกเสด็จฯโดยขบวน
พยุหตราทางสถลมารค 2 เลียบพระนครทางน้ำเสด็จฯโดยขบวนพยุหยาตราทาง ชลมารค ซึ่งจะเป็นขบวนพระเกียรติยศยิ่งใหญ่
ทำไมต้องเสด็จฯเลียบพระนครทางบกและทางน้ำ
คำตอบก็คือ เพื่อให้พสกนิกรได้ชื่นชมพระบารมีและมีส่วนร่วมเฝ้ารับเสด็จได้ 2 ข้างทางที่เสด็จฯผ่าน
วันที่ 6 พ.ค. 62 จะมีพิธีสำคัญเวลา 16.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯออกสีหบัญชร พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท
ถือเป็นธรรมเนียมโบราณเพื่อให้ประชาชนมีโอกาสชื่นชมพระบารมีอย่างใกล้ชิด
ปีครองราชย์ของพระมหากษัตริย์ไทยนั้นจะนับตั้งแต่ปีแรกของวันที่พระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนสวรรคตนับเป็นปีที่ 1 ฉะนั้นรัชกาลที่ 10 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค. 2559
เป็นเกร็ดความรู้ที่ทำให้ได้เข้าใจต่อพระราชพิธีสำคัญนี้
รู้กันดีว่าพระราชพิธีสำคัญนี้ใช่ว่าจะเกิดขึ้นบ่อยๆในช่วงชีวิตของคนเรา จึงถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
เป็นปีเปลี่ยนผ่านสำคัญของประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางความชื่นชมของประชาชนชาวไทยและนานาประเทศ
อย่างหนึ่งต้องนำมากล่าวถึงคือพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านนับแต่ทรงขึ้นครองราชย์ได้สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศมาอย่างต่อเนื่อง
หรือจะพูดอย่างชาวบ้านๆก็คือสร้างความสุขให้กับประชาชน
สร้างความเชื่อมั่นว่า “สถาบันหลัก” ของชาติยังคงเป็นหลักชัยให้ประเทศชาติและประชาชนที่จะนำไปสู่ความสงบสุข ความมั่นคงและพัฒนาก้าวไปข้างหน้าเพื่ออนาคตที่ดี
ในฐานะพสกนิกรจึงต้องร่วมมือร่วมใจ สมานสามัคคีและรักษาสถาบันหลักของชาติ
เพื่อความยั่งยืนสถาพรของชาติบ้านเมือง!!!
“ลิขิต จงสกุล”