ช่วงเย็นวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2495 พสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศต่างตื่นเต้นและปลาบปลื้มปีติ ชื่นชมโสมนัสยิ่งกับข่าวพระประสูติกาลของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าชายพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดย “ศาสตราจารย์ หม่อมราชวงศ์สุมนชาติ สวัสดิกุล” ได้จดจารึกถึงห้วงเวลาสำคัญที่สุดห้วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ว่า

“...วันนี้ครึ้มฟ้าครึ้มฝนตั้งแต่เช้า ฝนไม่ได้ตกมานาน นายแพทย์ผู้ถวายการประสูติเข้าประจำที่สักครู่ก็ประสูติพระราชกุมาร เวลา 17 นาฬิกา กับ 45 นาที ในนาทีเดียวกันนั้นเอง ฝนที่แล้งมาตลอดฤดูก็เริ่มโปรยปรายละอองลงมา ดูคล้ายๆฟ้าก็รู้เห็นเป็นใจกับการประสูติครั้งนี้ อารามดีใจสมประสงค์ของดวงใจทุกๆดวง นายแพทย์ที่ถวายการประสูติ ซึ่งพร้อมที่จะบอกแก่ที่ประชุม ณ พระที่นั่งอัมพรสถานว่าพระราชโอรส หรือพระราชธิดา กล่าวออกมาด้วยเสียงอันตื่นเต้นกังวานว่า “ผู้ชาย” แทนที่จะว่า “พระราชโอรส” ฝนโปรยอยู่ตลอดเวลา แตรสังข์ดุริยางค์เริ่มประโคม ทหารบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ปืนใหญ่ทั้งบกและเรือยิงสะเทือนเลื่อนลั่น เสียงไชโยโห่ร้องก็ดังอยู่สนั่นหวั่นไหว สมใจประชาชนแล้ว ดวงใจทุกดวงมีความสุข…”

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชหัตถเลขาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระสังฆราชทรงขนานพระนามสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ซึ่งสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหาร ได้ผูกดวงพระชะตา และขนานพระนามดวงแก้วของปวงชนชาวไทย เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ.2495 ว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธำรงสุบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณสวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ตามโบราณราชประเพณี ในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2495 ดังหมายกำหนดการตามประกาศของสำนักพระราชวังบันทึกไว้ว่า...

“วันที่ 15 กันยายน เวลา 8 นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จออกยังห้องพระราชพิธี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สังฆการีนิมนต์พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ 10 รูป ซึ่งเจริญพระพุทธมนต์แต่วันก่อน ขึ้นนั่งยังอาสนะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ ทรงศีล แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณประกอบพิธีทำน้ำสรงที่ขันพระสาคร แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลั่งพระเต้าน้ำพระพุทธมนต์ลงในขันพระสาครนั้น แล้วพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณลอยกรงกุ้ง ปลาทอง ปลาเงิน และมะพร้าวทอง มะพร้าวเงิน ลงในขันพระสาครนั้น

...เสร็จแล้วถึงพระฤกษ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์พระราชทานแก่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ แล้วทรงจรดพระกรรไกรไทยขริบพระเกศา และทรงหลั่งน้ำพระพุทธมนต์เทพมนตร์จากพระเต้าพระราชทาน แล้วทรงผูกด้ายพระขวัญ ทรงเจิมพระราชทานแก่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ขณะนี้พระสงฆ์ได้เจริญชัยมงคลกถา พราหมณ์เป่าสังข์ พนักงานภูษามาลาแกว่งบัณเฑาะว์ ชาวพนักงานประโคมฆ้องชัย สังข์ แตร และดุริยางค์ แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลาไปรับพระราชทานฉันภัตตาหารที่ท้องพระโรงหลัง

...ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณถวายน้ำเทพมนตร์ที่พระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ และแขวนพระอู่ ปูลาด พระยี่ภู่ แล้ววางเครื่องมงคลราชพิธีลงในพระอู่รดน้ำสังข์และเจิมพระอู่แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงวางราชทัณฑ์พระราชทานตามขัตติยราชประเพณีลงในพระอู่ แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เชิญเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอบรรทมในพระอู่ พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณอ่านเวทขับมูลาคนี สรรเสริญเปิดศิวาลัยไกลาส พระครูพราหมณ์ถวายเห่กล่อม พนักงานภูษามาลาแกว่งบัณเฑาะว์ ชาวพนักงานประโคมฆ้องชัย สังข์ แตร และดุริยางค์ เสร็จแล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พราหมณ์เบิกแว่นพระบรมวงศานุวงศ์ข้าทูลละอองธุลีพระบาท รับแว่นเทียนสมโภช...”

นับแต่นั้นมาประชาชนชาวไทยต่างเฝ้าติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของ “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ” ด้วยความจงรักภักดี และชื่นชมโสมนัสยิ่งขึ้น เมื่อพระองค์ทรงเจริญวัยมีพระสุขภาพพลานามัยแข็งแรง เพียบพร้อมด้วยพระราชจริยวัตร และพระปรีชาสามารถเป็นที่ประจักษ์ชัด

“สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ” ทรงได้รับการศึกษาระดับอนุบาลศึกษา ณ พระที่นั่งอุดร ภายในพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต จากนั้นทรงเข้ารับการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่โรงเรียนจิตรลดา ระหว่างปี พ.ศ.2499-2508 โดยทรงเป็นนักเรียนจิตรลดา รุ่นที่สอง หมายเลขประจำตัวคือ 9

“คุณหญิง ดร.ทัศนีย์ บุณยคุปต์” อาจารย์ใหญ่โรงเรียนจิตรลดา บอกเล่าถึงพระราโชบาย ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ตอนหนึ่งว่า ก่อนที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เริ่มชั้นอนุบาล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า พระอาจารย์ที่จะมาถวายพระอักษร สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ต้องนึกว่าเป็นครู และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอทรงเป็นลูกศิษย์ ครูจะต้องไม่ถวายสิทธิพิเศษแด่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอในโรงเรียน ครูจะต้องมีความยุติธรรม ต้องหนักแน่น ขอให้ครูฝึกฝนและอบรมให้เด็กๆเป็นนักเรียนที่มีระเบียบ มีความรับผิดชอบในหน้าที่ รู้จักทำตนให้ตรงต่อเวลา ฝึกให้มีสมาธิในการงาน รู้จักรักษาสมบัติส่วนตัวและส่วนรวม รู้จักมีเมตตาและนึกถึงผู้อื่น รู้จักทำตนให้เข้ากับส่วนรวม ดังนั้นในการรับนักเรียนร่วมชั้นกับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ จึงมิได้จำกัดว่าจะต้องเป็นเฉพาะเชื้อพระวงศ์ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ชวนผู้ที่มีบุตรหลานวัยเดียวกันให้มาเรียนในชั้นที่จะเปิดใหม่

“สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ” ทรงเรียนได้ดีตลอดมา และทรงมีพระนิสัยรักการผจญภัย เช่นเดียวกับเด็กชายในวัยเดียวกัน โปรดการผจญภัยโลดโผนทุกชนิด และยังโปรดวิชาลูกเสือสำรองมาก เพราะนอกจากจะได้ทรงกระโดดโลดเต้นออกกำลังกายกลางแจ้งแล้ว ยังได้ทรงฟังนิทานสนุกๆ และได้ทรงร้องเพลงที่สนุกสนานด้วย ทรงเป็นนักเรียนที่ช่างซักมากที่สุดในชั้น วันใดที่มีการฝึกลูกเสือสำรองจะทรงตื่นบรรทมเช้ากว่าปกติ เตรียมฉลองพระองค์ลูกเสือด้วยพระองค์เอง สิ่งแรกที่ทำหลังจากตื่นบรรทมคือ ขัดหัวเข็มขัดและรองพระบาทสำหรับเครื่องแบบลูกเสือ ทำความสะอาดพระนขา เตรียมพร้อมสำหรับรับการตรวจอยู่ตลอดเวลา ครั้งหนึ่งเคยเสด็จไปเข้าประจำกองลูกเสือสามัญ สมทบกับหน่วยโรงเรียนวชิราวุธ โดยต้องเสด็จฯไปทรงสอบเดินทางไกลและประกอบอาหาร ที่ค่ายลูกเสือวชิราวุธ ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ทรงตื่นบรรทมแต่เช้ามืด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสห้ามมิให้ใครตามเสด็จนอกจากราชองครักษ์ ทูลกระหม่อมชายทรงทำกับข้าวเอง โดยโปรดทำข้าวสวยคลุกไข่แล้วปั้นเป็นก้อนทอด การทำครัวเป็นของโปรดเท่าๆกับความช่างเสวย บางคราวโปรดทรงทำอาหารเองด้วยหม้อและเตาดินเผาเล็กๆ แล้วประทับเสวยอย่างเอร็ดอร่อยร่วมกับผู้ตามเสด็จ

ในฐานะผู้อำนวยการโรงเรียนจิตรลดา และครูประจำชั้น “ท่านผู้หญิงอังกาบ บุณยัษฐิติ” ย้อนรำลึกถึงพระราชจริยวัตรในวัยเยาว์ของ “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ” ว่า...

“ในช่วงที่ยังทรงพระเยาว์ ทรงเป็นเด็กซนร่าเริงเหมือนเด็กทั่วไป ถ้าทรงซนมากถูกครูดุก็ทรงฟัง ทรงมีความอยากรู้อยากเห็น สนใจในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในอัลบั้มส่วนพระองค์มีพระรูปสมัยหัดเล่นโขน พระรูปทำเวรตอนอยู่อนุบาล นักเรียนที่เป็นเวรจะต้องทำหน้าที่แจกน้ำส้ม ซึ่งทรงปฏิบัติหน้าที่อย่างดี รับสั่งว่าเพื่อนเป็นเวร เราก็เป็นเวรได้เหมือนกัน ทรงเล่นของที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็ทรงเป็นศิลปิน ทรงเก็บชอล์กสั้นๆไปแกะสลักเป็นรูปผีหลวง

มีตามีปาก แล้วยังโปรดงานปั้นต่างๆ ปั้นเสร็จก็ลงพระนามว่า “วก.” ขณะนั้นทรงเริ่มสนพระราชหฤทัยในเรื่องวิทยาศาสตร์ เครื่องจักร เครื่องยนต์ รถยนต์ และมีพระอุปนิสัยโปรดความมีระเบียบวินัย ไม่โปรดฝ่าฝืนกฎระเบียบข้อบังคับใดๆ โปรดให้ทุกคนที่อยู่รายรอบแต่งตัวเรียบร้อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีรับสั่งว่า ผู้ที่รับรองไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ ทำให้เหมือนกับเป็นนักเรียนไปเรียนนอกสถานที่ ไปดูละครก็ให้นั่งแถวเดียวกับเพื่อนๆ เรื่องลูกเสือก็โปรดมาก เพราะโปรดเครื่องแบบ ตอนอยู่ ป.7 รับสั่งว่าใฝ่ฝันอยากเป็นทหาร เพราะมีระเบียบวินัย มีเครื่องแบบที่ดูดี”

“สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ” ทรงศึกษาอยู่ที่โรงเรียนจิตรลดาจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จึงได้เสด็จฯไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ โดยทรงเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมิลฟิลด์ แคว้นซอเมอร์เซต ประเทศอังกฤษ ก่อนจะเสด็จฯไปทรงศึกษาหลักสูตรด้านการทหารตามที่ใฝ่ฝันไว้ ณ โรงเรียนคิงส์สกูล นครซิดนีย์ และวิทยาลัยการทหารดันทรูน กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย

“ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย วันที่ 7 มกราคมนี้ ข้าพเจ้าจะจากพระนครไปประเทศอังกฤษแล้ว จึงขอถือโอกาสนี้อำลาท่านทั้งหลายโดยทั่วกัน ข้าพเจ้ามีใจผูกพันอยู่กับประเทศชาติและกับท่านทั้งหลายมาก เพราะข้าพเจ้าเป็นพลเมืองไทยคนหนึ่ง และท่านทั้งหลายต่างได้แสดงน้ำใจไมตรีต่อข้าพเจ้าตลอดมา ข้าพเจ้าจึงตระหนักว่าในกาลข้างหน้า ข้าพเจ้ามีหน้าที่ และจะต้องทำงานให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองและประชาชนให้จงได้ ในโอกาสที่ข้าพเจ้าจะออกไปศึกษา ณ ต่างประเทศนี้ ข้าพเจ้าจึงตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่ว่าจะพยายามศึกษาเล่าเรียนโดยเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้เกิดความรู้และสติปัญญา นำมาในการทำนุบำรุงประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า และรุ่งเรืองไพบูลย์ยิ่งขึ้นไป...” นี่คือคำมั่นสัญญาแรกจาก “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ” ที่ทรงให้ไว้กับประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ ก่อนจะทรงลาไปศึกษาเล่าเรียนตามที่ตั้งพระทัยไว้ เพื่อนำวิชาความรู้กลับมาทำนุบำรุงประเทศชาติต่อไป.