king10

เครื่องราชกกุธภัณฑ์ “เครื่องหมายแห่งความเป็นพระราชา”

THAIRATH MEMBERSHIP

ข่าว

โปรโมชั่น

โปรโมชั่น

เครื่องราชกกุธภัณฑ์ “เครื่องหมายแห่งความเป็นพระราชา”

เครื่องราชกกุธภัณฑ์ “เครื่องหมายแห่งความเป็นพระราชา”

-ก+

แชร์ข่าว

เครื่องราชกกุธภัณฑ์ เป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นพระราชา ซึ่งพระราชครูพราหมณ์ผู้ทำพิธี จะนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ในวันที่ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 

นับตั้งแต่โบราณราชประเพณี มีการระบุถึงเครื่องราชกกุธภัณฑ์ดังนี้ พระมหาเศวตฉัตร พระมหาพิชัยมงกุฎ พระภูษาผ้ารัตตกัมพล พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกร วาลวิชนี และฉลองพระบาทเชิงงอน โดยมีหลักฐานระบุถึงเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในแต่ละสมัยแตกต่างกัน

ตั้งแต่สมัยอยุธยา ในหนังสือปัญจราชาภิเษก มีข้อความเกี่ยวกับลักษณะเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์สำหรับราชาภิเษกของสมเด็จพระมหากษัตริย์นั้น คือ “พระมหามงกุฎ พระภูษาผ้ารัตตกัมพล พระขรรค์ พระเศวตฉัตร เกือกทองประดับแก้วฉลองพระบาท”


ต่อมาสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ตามพงศาวดารฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี ระบุถึงเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ว่ามี พระมหามงกุฎ พระแสงขรรค์ ธารพระกร (แทนผ้ารัตตกัมพล) พระพัดวาลวิชนี (แทนเศวตฉัตร) และฉลองพระบาท ในสมัยรัชกาลที่ 2 ไม่มีพระมหามงกุฎและฉลองพระบาท แต่มีเศวตฉัตรและพระแสงดาบ

ครั้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 กลับไปเหมือนสมัยรัชกาลที่ 1 โดยเครื่องราชเบญจกกุธภัณฑ์ ได้แก่ พระมหามงกุฎ พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกร วาลวิชนี และฉลองพระบาท โดยพราหมณ์ผู้ทำพิธี จะนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เป็นเครื่องแสดงว่าได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินถูกต้องสมบูรณ์แล้ว 

สำหรับความหมายของเครื่องราชกกุธภัณฑ์แต่ละองค์นั้นมีความหมายดังนี้

พระมหาเศวตฉัตร หรือพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร 

ถือเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญยิ่งกว่าราชกกุธภัณฑ์อื่นๆ เป็นฉัตร 9 ชั้น หุ้มผ้าขาว มีระบาย 3 ชั้น ขลิบทอง แผ่ลวด มียอด ชั้นล่างสุด ห้อยอุบะจำปาทอง สำหรับพระมหากษัตริย์ที่ทรงรับพระบรมราชาภิเษกแล้ว ใช้แขวนหรือปักเหนือพระราชอาสน์ ราชบัลลังก์ในท้องพระโรงพระมหาปราสาทราชมณเฑียร หมายถึง พระบารมีและพระบรมเดชานุภาพที่ปกแผ่ไปทั่วทิศานุทิศ โดยพระมหาราชครูพราหมณ์ถวาย เมื่อทรงรับน้ำอภิเษกจากบุคคลสำคัญจากทิศทั้ง 8 ทรงเป็น "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" 

พระมหาพิชัยมงกุฎ

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในสมัยโบราณ ถือว่ามงกุฎมีค่าสำคัญเท่ากับราชกกุธภัณฑ์อื่นๆ และพระมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด

แต่ต่อมา เมื่อประเทศไทยติดต่อกับประเทศในทวีปยุโรปมากขึ้น จึงนิยมตามราชสำนักยุโรปที่ถือว่า ภาวะแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ที่การสวมมงกุฎ แต่นั้นมา จึงถือว่าพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญ และพระมหากษัตริย์จะทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

พระมหาพิชัยมงกุฎทองคำลงยาราชาวดีประดับเพชร สูง 66 เซนติเมตร น้ำหนัก 7,300 กรัม สร้างขึ้นเป็นเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ในรัชกาลที่ 1 ในครั้งนั้นยอดพระมหาพิชัยมงกุฎยังเป็นพุ่มข้าวบิณฑ์ประดับเพชรเม็ดเล็กๆ

จนถึงรัชกาลที่ 4 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยไปเลือกสรรหาซื้อเพชรขนาดใหญ่มาจากประเทศอินเดีย นำมาประดับยอดมงกุฎแทนพุ่มข้าวบิณฑ์ พระราชทานเพชรเม็ดนี้ว่า “พระมหาวิเชียรมณี” เพชรเม็ดนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.6 เซนติเมตร สูงประมาณ 1.4 เซนติเมตร

เป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ หมายถึง ทรงรับพระราชภาระอันหนักยิ่งของแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน

พระมหาพิชัยมงกุฎทองคำลงยาราชาวดีประดับเพชร สูง 66 เซนติเมตร น้ำหนัก 7,300 กรัม (ภาพกราฟิกเสมือนจริง)

พระแสงขรรค์ชัยศรี

เป็นพระขรรค์โบราณ เชื่อกันว่าเป็นพระราชศาสตราคู่บ้านคู่เมืองเขมร สมัยพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ จมอยู่ในทะเลสาบเมืองนครเสียมราฐ มาเป็นเวลานานเท่าใดไม่มีใครทราบ ชาวประมงไปทอดแหติดขึ้นมา องค์พระขรรค์ยังดีไม่มีสนิมผุกร่อน ท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง และนครเสียมราฐ จึงได้มอบให้พระยาพระเขมรเชิญเข้ามาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อ พ.ศ. 2327 จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ช่างทำด้ามพระขรรค์หุ้มทองคำลงยาราชาวดีลายเทพนม ฝักหุ้มทองคำลงยาราชาวดีประดับมณีขึ้นด้วยฝีมืออันประณีตงดงาม เสร็จแล้วจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญเป็นเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อ พ.ศ. 2328

พระแสงขรรค์ชัยศรีองค์นี้ เฉพาะองค์ยาว 64.5 เซนติเมตร ที่สันตอนใกล้จะถึงด้ามคร่ำด้วยทองคำเป็นลวดลายงดงาม ด้ามพระขรรค์ ยาว 25.4 เซนติเมตร สวมฝักแล้วยาว 101 เซนติเมตร หนัก 1,900 กรัม

เป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ มีความหมายถึงความเที่ยงตรง และรับพระราชภาระปกป้องแผ่นดิน ให้พ้นจากภยันตราย

พระแสงขรรค์ชัยศรี เป็นเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 เมื่อพ.ศ. 2328 เช่นเดียว พระมหาพิชัยมงกุฎ (ภาพกราฟิกเสมือนจริง)

ธารพระกรชัยพฤกษ์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ปิดทอง หัวและส้นเป็นเหล็ก คร่ำลายทอง ที่สุดส้นเป็นส้อมสามง่าม เรียกว่า ธารพระกร ชัยพฤกษ์

ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างธารพระกรขึ้นใหม่ทำด้วยทองคำ ภายในมีพระแสงเสน่า (สะ-เหน่า) ยอดมีรูปเทวดา เรียกว่า ธารพระกรเทวรูป มีลักษณะเป็นพระแสงดาบมากกว่า เป็นธารพระกร ครั้นถึงรัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ธารพระกรชัยพฤกษ์ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสืบมาจนถึงรัชกาลที่ 9

เป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ที่มีความหมายถึงความมั่นคง ทรงดํารงราชธรรมเพื่อค้ำจุนบ้านเมืองให้ผาสุกมั่นคง

ธารพระกรชัยพฤกษ์ ในสมัยรัชกาลที่ 1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ปิดทอง ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใหม่ทำด้วยทองคำ  (ภาพกราฟิกเสมือนจริง)

วาลวิชนี
วาลวิชนี คือพัดและแส้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ลักษณะเป็นพัดใบตาล ที่ใบตาลปิดทองทั้ง 2 ด้าน ขอบขลิบทองคำ ด้ามทำด้วยทองลงยา เรียกว่า พัชนีฝักมะขาม

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า ตามพระบาลีที่เรียกว่า “วาลวิชนี” ไม่ควรจะเป็นพัดใบตาล ควรจะเป็นเครื่องโบกปัดที่ทำด้วยขนจามรี เพราะวาล แปลว่า ขนโคชนิดหนึ่ง ตรงกับที่ไทยเรียก จามรี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างแส้ขนจามรีเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ภายหลังใช้ขนหางช้างเผือก เรียกว่า “พระแส้หางช้างเผือก” แต่ก็ไม่อาจที่จะเลิกใช้พัดใบตาลของเดิมได้ จึงโปรดให้ใช้พัดใบตาลและพระแส้จามรีควบคู่กัน โดยเรียกว่า วาลวิชนี 

เป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ มีความหมายถึงทรงขจัดปัดเป่าความทุกข์ยากเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎร์

วาลวิชนี คือพัดและแส้ เป็นพัดใบตาลปิดทองและพระแส้จามรีควบคู่กัน (ภาพกราฟิกเสมือนจริง)

ฉลองพระบาทเชิงงอน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามแบบอินเดียโบราณ เป็นฉลองพระบาทเชิงงอน ทำด้วยทองคำยาราชาวดีฝังเพชร มีน้ำหนัก 650 กรัม สร้างเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระมหาราชครูวามหามุนีเป็นผู้สวมถวาย

เป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ที่หมายถึงการเสด็จพระราชดำเนินไปทุกหนแห่งในแผ่นดิน ทรงทํานุบํารุง ปวงประชาทั่วรัฐสีมาอาณาจักร

ฉลองพระบาทเชิงงอน ทำด้วยทองคำยาราชาวดีฝังเพชร มีน้ำหนัก 650 กรัม (ภาพกราฟิกเสมือนจริง)


ที่มา : ข้อมูลและภาพ ส่วนหนึ่งจากเอกสาร คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และการบรรยาย โดย ศ.ดร.ม.ร.ว.สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์ ประธานอนุกรรมการ ด้านสารัตถะ และสร้างสรรค์ผลิตสื่อ ในการอบรมเชิงปฏิบัติการ “งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ. 2562" วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2562