หัวหน้าพรรคประชาชน เห็นด้วยเหตุการณ์แห่งปียกมือโหวต “อนุทิน” นั่งนายกฯ เป็นกุญแจเปิดประตูหาทางออกให้ประเทศ ขอบคุณสื่อตั้งฉายาสภาฯ สะท้อนความเทาอยู่ทุกแวดวง ลุยหาเสียงเจอแม่ค้าหอมแก้ม
วันที่ 29 ธันวาคม 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงฉายาสภาผู้แทนราษฎร “รังหนอนสีเทา” ว่า เป็นเสียงสะท้อนที่เห็นตามหน้าสื่อ แต่ตนคิดว่าสิ่งที่น่ากลัวขณะนี้คือเครือข่ายทุนเทาที่ไม่ได้ยึดแค่เพียงตลาดหลักทรัพย์ แต่เกี่ยวข้องกับคนในแวดวงทางการเมืองและบุคคลที่อยู่ในอำนาจ หากสภาผู้แทนราษฎรศูนย์รวมอำนาจประชาชนชาวไทยถูกยึดด้วยเครือข่ายทุนเทา อาจจะทำให้ประเทศไทยถึงทางตัน ตนยืนยันว่าแคมเปญไม่มีสีเทา อยากให้ชวนเป็นวาระของทุกพรรคการเมืองไม่ใช่เพียงมีส้มไม่มีเทา
เมื่อถามว่าเห็นด้วยกับฉายานี้หรือไม่ นายณัฐพงษ์ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็น ระบุว่า ขอเพียงขอบคุณที่ช่วยกันตั้งฉายานี้ เป็นสิทธิของทุกคนที่จะแสดงออกกับสภาฯ นี้ให้กับการเลือกตั้ง ส่วนวาทะแห่งปีกับคำพูดว่า “เราเลือกคุณอนุทินมา ไม่ได้ให้มาบริหารประเทศแต่ให้มายุบสภา” นายณัฐพงษ์ ระบุว่า พรรคประชาชนเซ็น MOA ด้วยเงื่อนไข 2 อย่าง คือการยุบสภาและเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แม้ไม่เป็นไปตามคาดหวังตามข้อตกลง แต่อย่างน้อยคำถามประชามติ 1 ข้อ เดินหน้าพร้อมกับการเลือกตั้ง พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนเห็นชอบการออกเสียงประชามติเพื่อเดินหน้าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (อ่านเพิ่มเติม : ตั้งฉายาสภาฯ 2568 “รังหนอนสีเทา” วุฒิสภา “รังของหนู” วาทะเด็ด “เลือกอนุทินมายุบสภา”)
...
ขณะที่คำถาม เห็นด้วยหรือไม่กับเหตุการณ์แห่งปีที่พรรคประชาชนโหวตให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี นายณัฐพงษ์ ตอบว่า เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย สิ่งที่พรรคประชาชนตั้งใจคือการปลดล็อกข้อจำกัดในประเทศ และอย่างน้อยการเลือกตั้งครั้งหน้า ได้คำถามแรกในการทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้ง เป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นกุญแจเปิดประตูหาทางออกให้กับประเทศไทยอย่างแท้จริง คงเป็นเหตุการณ์สำคัญแห่งปีในปีนี้จริงๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าในช่วงหนึ่งของการลงพื้นที่หาเสียงที่ตลาดมหาชัย จ.สมุทรสาคร นายณัฐพงษ์ นำคณะลงพื้นที่พร้อมกับแนะนำผู้สมัคร สส. และหมายเลขประจำพรรคประชาชน เบอร์ 46 บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก ได้รับการตอบรับจากประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดี มีประชาชนเข้ามาขอถ่ายรูปและสอบถามนโยบายของพรรคประชาชนในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ โดยช่วงหนึ่งมีแม่ค้าเข้ามาขอถ่ายรูปด้วยอาการเขินและหอมแก้มนายณัฐพงษ์ด้วยฟอดใหญ่ ทำให้เพื่อนๆ แม่ค้าช่วยกันเชียร์ว่า “มาแล้วหอมเลย เดี๋ยวเป็นนายกฯ แล้วไม่ได้หอม” ต่อมานายณัฐพงษ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งในจังหวัดสมุทรสาคร ว่า ตนมีความมั่นใจที่จะรักษาพื้นที่ทางการเมืองได้ โดยในช่วงเช้าได้ลงพื้นที่ อ.บ้านแพ้ว พร้อมกับผู้สมัคร พบว่าได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนค่อนข้างดี
ในวันเดียวกันนี้ นายณัฐพงษ์ ยังได้เข้าร่วมประชุมรับฟังปัญหาและข้อเสนอจากสมาคมการประมงสมุทรสาคร เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาภาคการประมง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัญหาหลักของจังหวัดสมุทรสาคร รวมถึงพื้นที่ชายฝั่งทะเลอีก 22 จังหวัดทั่วประเทศ โดยกล่าวว่า ภาคการประมงกำลังเผชิญกับปัญหาซับซ้อนทั้งด้านกฎหมาย เศรษฐกิจ และการบังคับใช้มาตรการของรัฐ โดยพรรคประชาชนได้ติดตามและรับฟังความคิดเห็นต่อพระราชกำหนดการประมงอย่างรอบด้าน ซึ่งสาระสำคัญของกฎหมายฉบับดังกล่าว คือการปรับลดบทลงโทษที่ไม่เป็นธรรมต่อชาวประมงให้เหมาะสมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีอีกหลายประเด็นที่จำเป็นต้องทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในข้อเสนอสำคัญ คือการรวบรวมกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประมง ซึ่งปัจจุบันกระจัดกระจายอยู่หลายฉบับและอยู่ภายใต้การบังคับใช้ของหลายหน่วยงาน มาจัดทำเป็นประมวลกฎหมายประมงเพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างบูรณาการ ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายอย่างแท้จริง ส่วนประเด็นความขัดแย้งระหว่างประมงพาณิชย์ ประมงพื้นบ้าน และกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นข้อถกเถียงที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน สิ่งสำคัญที่สุดคือการมีข้อมูลเชิงวิชาการและงานวิจัยที่เป็นข้อเท็จจริง ถูกต้องตามสถานการณ์ปัจจุบัน และได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการกำหนดนโยบายและทำให้การทำประมงเป็นไปอย่างยั่งยืน ภาคประมงพาณิชย์ไม่ได้ขัดข้องต่อแนวทางดังกล่าว และมีข้อเสนอให้จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะด้านงานวิจัย โดยเฉพาะในส่วนของการประมงทะเล ซึ่งพรรคประชาชนได้รับข้อเสนอนี้ไปพิจารณาเพิ่มเติม
ช่วงหนึ่งผู้สื่อข่าวสอบถามถึงปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำที่ส่งผลกระทบต่อชาวประมง นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ปัญหานี้ไม่ได้กระทบเฉพาะชาวประมงจังหวัดสมุทรสาครเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงประชาชนที่ประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงปลาในหลายพื้นที่ โดยปัญหาที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการแพร่ระบาด และเสียงสะท้อนจากวงประชุมชี้ให้เห็นว่าภาครัฐมักบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับชาวประมงหรือผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎหมายอยู่แล้ว ขณะที่ผู้ที่สร้างต้นทุนและภาระให้กับสังคมกลับยังไม่เห็นการดำเนินคดีหรือเรียกค่าเสียหายอย่างจริงจัง พร้อมยืนยันว่า หากพรรคประชาชนเป็นรัฐบาล จะบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา และไม่ละเว้นการตรวจสอบผู้กระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออยู่ฝ่ายใดของการเมือง
ทางด้าน นายมงคล มงคลตรีลักษณ์ นายกสมาคมการประมงสมุทรสาคร กล่าวว่า ขอขอบคุณพรรคประชาชนที่ลงพื้นที่รับฟังปัญหาและหารือนโยบายร่วมกับชาวประมง โดยที่ผ่านมา ภาคการประมงทะเลได้รับผลกระทบต่อเนื่องมากกว่า 10 ปี แม้จะมีการปรับปรุงกฎหมายบางส่วนแล้ว แต่ยังเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากยังมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประมงอีกหลายฉบับที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเพื่อฟื้นฟูภาคการประมงอย่างเป็นระบบ นโยบายในระยะต่อไปควรเปลี่ยนจากการควบคุมเป็นหลัก มาเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนภาคการประมง ควบคู่กับการทำประมงอย่างยั่งยืน ทั้งในส่วนของประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้าน โดยควรมีการกระจายอำนาจให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศ วิถีชีวิต และรูปแบบการทำประมงในแต่ละภูมิภาคมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้ สมาคมการประมงสมุทรสาครยืนยันความพร้อมในการร่วมพูดคุยกับทุกพรรคการเมือง เพื่อผลักดันนโยบายจากภาคประชาชนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต