สื่อสภาฯ ตั้งฉายา 2568 สภาผู้แทนฯ “รังหนอนสีเทา” วุฒิสภา “รังของหนู” วาทะเด็ด “เลือกอนุทินมายุบสภา” 3 สว. “ดาวดับ” คู่กัดแห่งปี “พิสิษฐ์-นันทนา” งดตั้งฉายา ปธ.สภาฯ-ผู้นำฝ่ายค้าน-ดาวเด่น
วันที่ 28 ธันวาคม 2568 ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ร่วมกันตั้ง “ฉายารัฐสภา” เป็นธรรมเนียมประจำทุกปี เพื่อสะท้อนความคิดเห็นการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ตลอดปี 2568 ในฐานะที่ติดตามการทำหน้าที่ของ สส. และ สว. มาโดยตลอด แต่ในปีนี้สื่อมวลชนประจำรัฐสภามีมติงดตั้งฉายา “ประธานสภาผู้แทนราษฎร”, “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร” และ “ดาวเด่น” เนื่องจากอยู่ในช่วงของการหาเสียงเลือกตั้ง จึงกังวลว่าหากตั้งฉายาไปแล้วอาจถูกนำไปโจมตีกัน ให้คุณให้โทษกับผู้ถูกพูดถึงหากบุคคลนั้นลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งเสี่ยงต่อกฎหมายเลือกตั้งได้
“สภาผู้แทนราษฎร” ได้รับฉายา “รังหนอนสีเทา”
สส.หลายคน ถูกตั้งคำถามเรื่องจริยธรรมและการทำหน้าที่ ที่มุ่งเน้นแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง อีกทั้งที่ผ่านมามักจะเห็นคำว่า “งูเห่า” เกิดขึ้นในสภาฯ แต่ระยะหลัง สส. ที่ถูกมองเป็นงูเห่าไม่กล้าเผยตัว แต่ไปแฝงในพรรคการเมืองต่างๆ เปรียบเสมือน “หนอน” ที่แฝงตัวอยู่เพื่อเอื้อประโยชน์ ส่วนคำว่า “สีเทา” สะท้อนถึงพฤติกรรมของนักการเมืองที่อยู่ในสภาฯ ไม่ขาวสะอาด เพราะปรากฏข่าวว่า มีส่วนพัวพันกับผลประโยชน์ทับซ้อน
ดังนั้น “รังหนอนสีเทา” จึงเป็นที่รวบรวมผู้ทรงเกียรติที่ยังขาดความสง่างาม มุ่งกัดกินงบประมาณและอำนาจผ่านการดีลผลประโยชน์ข้ามขั้ว โดยไม่สนจุดยืนทางการเมือง และหน้าที่ของตน
...
“วุฒิสภา” ได้รับฉายา “รังของหนู”
พฤติกรรมวุฒิสภาปีนี้ มองว่าเป็นคนของผู้มีอำนาจและอยู่ภายใต้พรรคการเมือง เปรียบเหมือนหนูที่อยู่ในรัง ที่จับกลุ่ม “พวกมากลากไป” ใช้กลไก “จริยธรรม” เล่นงานเสียงข้างน้อยแทบไม่มีที่ยืน แม้รัฐบาล “นายกฯ หนู” จะยืนยันว่าไม่สามารถสั่ง สว. ชุดนี้ได้ แต่ก็ยังเสียงข้างมากแบบไม่มีแตกแถว เดินหน้าโหวตกรรมการองค์กรอิสระรัวๆ แม้จะมีข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อน หรือทำเพื่อพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง
ประธานวุฒิสภา “มงคล สุระสัจจะ” ได้รับฉายา “หมงล้งบุรีรัมย์”
“เฮียหมง” หรือ “เสี่ยหมง” ชื่อเล่นของ “นายมงคล สุระสัจจะ” ประธานวุฒิสภา โชว์ภาพลักษณ์ที่ดูเชี่ยวชาญกับบทบาท “เถ้าแก่ล้งผลไม้” มากกว่าการเป็นประมุขสภาสูง ซึ่งผลงานที่โดดเด่นและเป็นที่จดจำมากที่สุดในปีนี้ ไม่ใช่การขับเคลื่อนงานวุฒิสภา แต่เป็นการสวมบทเถ้าแก่ล้ง “ทุเรียนน้ำแร่” ของดีบุรีรัมย์ และมังคุดเกรดเอระดับพรีเมียมยอดขายถล่มทลาย แต่พอไมค์จ่อปากถามถึงประเด็นร้อนทางการเมือง โรคกลัวดอกพิกุลจะร่วงกำเริบทันที พร้อมเอ่ยปากด้วยวลีเด็ด “ประธานต้องเป็นกลาง เขาไม่ให้พูด” แตกต่างจากตอนขายทุเรียน จนถูกมองว่าเป็นเสี่ยล้งผลไม้มากกว่าประมุขสภาสูง
“ดาวดับ”
สื่อมวลชนประจำรัฐสภา มีความเห็นร่วมกันที่จะมีผู้ได้รับตำแหน่งนี้ 3 คนได้แก่
- นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ซึ่งสอดคล้องกับฉายาประธานวุฒิสภาคือ “หมงล้งบุรีรัมย์” ที่ผลงานเด่นชัดไม่ใช่การทำหน้าที่ประธานวุฒิสภา
- นายอลงกต วรกี สว. ที่พยายามร้องไห้ล้อเลียนเพื่อน สว.ด้วยกัน รวมทั้งการพยายามหลบเลี่ยงการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนด้วยภาษาต่างประเทศ ทำให้กระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับ
- นายเศรณี อนิลบล สว. จากพฤติกรรมที่ถูกเผยแพร่ทางโซเชียลในการด่ากราดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย บริเวณหน้าอาคารรัฐสภา หลังทางเจ้าหน้าที่ขอความร่วมมือให้เปิดกระจก เพื่อตรวจสอบรถเข้า-ออกอาคารรัฐสภาตามหน้าที่ แต่นายเศรณี กลับไม่พอใจ ใช้ถ้อยคำต่อว่าหยาบคายรุนแรง รวมถึงชี้หน้าข่มขู่ แม้ภายหลังจะออกมาชี้แจงแล้วแต่ก็ไม่ได้ทำให้นายเศรณีดูดีขึ้น
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภายังมีข้อสังเกตถึง นายธนกร ถาวรชินโชติ สว. หลังถูกศาลจังหวัดฉะเชิงเทราตัดสินจำคุก 4 ปีในคดีลักทรัพย์ของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์มูลค่ากว่า 1.5 ล้านบาท รวมถึงกรณีที่นายธนกร ถูกอดีตสาวคนสนิทยื่นสอบจริยธรรมต่อคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา ในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ แม้ทั้ง 2 เหตุการณ์จะยังไม่มีการตัดสินจนถึงที่สุดแต่ในฐานะวุฒิสภาผู้ทรงเกียรติก็ไม่สมควรมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
“วาทะแห่งปี”
“วันนี้เราไม่ได้เลือกคุณอนุทิน มาบริหารประเทศ เราเลือกคุณอนุทิน ชาญวีรกูล มายุบสภาผู้แทนราษฎร ภายใต้กรอบเวลาที่ตกลงกัน” โดยเป็นประโยคที่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวอภิปรายปิดท้ายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อลงมตินายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2568
“เหตุการณ์แห่งปี”
การประชุมสภาฯ เพื่อลงมติเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2568 ในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยพรรคประชาชนซึ่งเป็นฝ่ายค้านร่วมลงมติด้วย เป็นปฐมบทนำมาสู่เหตุการณ์ต่างๆ ทั้ง การประชุมร่วมกันของรัฐสภา เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่เสนอโดยพรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย แม้ที่ประชุมรัฐสภาจะมีมติเสียงข้างมากรับหลักการ แต่พรรคภูมิใจไทยก็แพ้เสียงโหวตของพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย ในการสนับสนุนให้ใช้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน ซึ่งเป็นฝ่ายค้านเสียงข้างมากเป็นร่างหลักของคณะกรรมาธิการฯ รวมถึงนำมาสู่การพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ ที่ 2 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ซึ่งเกี่ยวข้องกับอำนาจ สว. ในการลงมติให้ความเห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่พรรคภูมิใจไทยเห็นแย้งกับพรรคประชาชน จนทำให้นายณัฐพงษ์ เรียกร้องให้นายอนุทินยุบสภาฯ และนายอนุทินประกาศคืนอำนาจให้ประชาชนทันที โดยมีผลในวันที่ 12 ธันวาคม 2568 โดยอ้างว่ายุบสภาฯ ตามที่นายณัฐพงษ์บอก
คู่กัดแห่งปี : “สว.พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์” และ “สว.นันทนา นันทวโรภาส”
แม้จะเป็นสมาชิกวุฒิสภาด้วยกันทั้งคู่ แต่ก็ถือว่าอยู่กันคนละขั้ว และในการประชุมวุฒิสภาทั้งคู่มักจะมีวิวาทะกันตลอด โดยเฉพาะในวาระพิจารณาเลือกกรรมการองค์กรอิสระต่างๆ ที่ น.ส.นันทนา มักจะขอให้วุฒิสภาชะลอการลงมติไว้เนื่องจากวุฒิสภายังมีข้อครหาคดีฮั้วเลือก สว. เกรงว่าอาจจะมีความไม่ชอบธรรม แต่ก็ถูก สว.พิสิษฐ์ ลุกขึ้นสวนกลับทุกครั้ง ถึงขั้นไล่ น.ส.นันทนา ออกจากห้องประชุม และให้ไปหาหมอ เพราะเป็นห่วงว่าจะเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ซึ่ง น.ส.นันทนา ก็มักแถลงข่าวเหน็บแนมนายพิสิษฐ์เป็นประจำ.