มาได้จังหวะเข้ากับสถานการณ์พอดิบพอดีเหมือนกับวางแผนยังไงยังงั้น เมื่อ กกต.มีหมายเรียกให้ระดับบิ๊กๆของ “ภูมิใจไทย” เข้าชี้แจง
กรณี “ฮั้ว สว.” เรื่องใหญ่ทางการเมืองเรื่องหนึ่ง
“อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรค “เนวิน ชิดชอบ” ครูใหญ่ผู้มีบารมีของพรรค “ไชยชนก ชิดชอบ” เลขาธิการพรรค และบรรดากรรมการบริหารพรรค ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่อนาคตของพรรค
เป็นลอตที่ 7 จำนวน 20 คน จากทั้งหมด 162 คน
ถือว่าเป็นการตีแสกหน้าพรรค “สีน้ำเงิน” แบบผ่ากลางอก หากพบว่ามีความผิดจริงนั่นหมายถึงผลที่ตามมา
“ยุบพรรค” ไม่มีทางดิ้นได้
หาก สว.ถูกสอบแล้วพบว่ามีการฮั้วกันจริงถือเป็นเรื่องใหญ่แล้ว แต่ถ้า “ภูมิใจไทย” ถูกยุบด้วยถือว่า “โคตรบิ๊ก” เลยก็ว่าได้
เพราะจะทำให้พรรคการเมืองที่กำลังมีอนาคตสดใสดับไปขณะที่กำลังเติบใหญ่และมีบทบาทต่อการเมืองทั้งระบบ
“อนุทิน” บอกว่าก็ต้องไปชี้แจง แต่ยืนยันว่าไม่ได้ทำผิดเป็นเรื่องการเมืองที่รู้กันอยู่ แต่ไม่ยอมเปิดเผยว่าการเมืองจากใครฝ่ายไหน
เหมือนจะให้รู้ๆกันวงในว่าใคร?
แน่นอนว่า “ภูมิใจไทย” ถูกรุกฆาตอย่างนี้ย่อมเป็นผลดี เพราะอย่างหนึ่งทำให้อำนาจการต่อรองถดถอยไปทันที
เนื่องจากระดับแกนนำของพรรคต้องมาติดบ่วงที่ดิ้นหนียาก ที่บอกว่าพร้อมไปเป็นฝ่ายค้านนั้นยิ่งทำให้หลุดหายจากวงจรแห่งอำนาจ
ไม่สามารถมีพลังในการแก้ข้อกล่าวหาเนื่องจากไร้ซึ่งอำนาจ
นั่นจึงไม่แปลกที่ “เพื่อไทย” ยังไม่ปรับ ครม. ในเวลานี้ เพราะ “เสี่ยหนู” ไม่ยอมที่จะให้กระทรวงมหาดไทยไปเป็นของ “เพื่อไทย”
...
ถึงกับประกาศว่าพร้อมเป็น “ฝ่ายค้าน”!
ที่ประชุมพรรคก็เห็นด้วยกับแนวทางนี้จนนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” ในฐานะหัวหน้า “เพื่อไทย” จึงยังไม่เคลื่อนไหวเรื่องปรับ ครม.
เพราะจะทำให้เกิดปัญหาตามมา
1.ถ้า “ภูมิใจไทย” ไม่ยอมก็จะเสียหน้า
2.หากแยกไปเป็นฝ่ายค้านก็จะทำให้เสียงของรัฐบาลน้อยลงเสี่ยงกับการโหวตในสภา ซึ่งมีกฎหมายหลายฉบับที่ต้องใช้เสียงสนับสนุนที่แน่นอนอย่างงบประมาณ กฎหมายกาสิโน
3.ทำให้เกิดความแตกแยกมากขึ้นในรัฐบาล
เพราะวันนี้ “เพื่อไทย” มีอำนาจต่อรองมากขึ้นเนื่องจาก “ภูมิใจไทย” มีปัญหาทำให้การพูดคุยน่าจะง่ายเข้า
การปรับ ครม.จึงรอไปอีกระยะหนึ่งจนกว่าจะสามารถต่อรองกับ “ภูมิใจไทย” ได้ เพราะคดีฮั้ว สว.นั้นต่างก็ทราบกันดี
“ใคร” อยู่เบื้องหลัง?
พูดง่ายๆคือให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องยอมรับสภาพโดยดุษณีจะได้ไม่ต้องเกิดปัญหาขัดแย้งทำให้ทุกอย่างง่ายเข้า
เมื่อ “เสี่ยหนู” อยู่ในกำมือพรรคอื่นๆก็คงมิกล้าแข็งขืน
ที่สุดทุกอย่างก็เข้าทางพรรค “แดง” เต็มเปา
ยิ่ง “ทักษิณ ชินวัตร” กำลังเสี่ยงกับเรื่องชั้น 14 รพ.ตำรวจ จึงไม่ต้องการเปิดศึกหลายด้านโดยไม่จำเป็น
อีกทั้งการปรับ ครม.หากปรับแล้ว “เพื่อไทย” ไม่ได้ประโยชน์อะไรก็อย่าทำเสียดีกว่า
เพราะกำลังรอสร้างผลงานให้เข้าตาประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง!
“สายล่อฟ้า”
คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม