ในจำนวนประชากรโลก 8,000 ล้านคน
สมเด็จมหาเดโชฮุน เซน คือคนที่น่าศึกษาค้นคว้ามากกว่าใครๆ
ศึกษาค้นคว้าเพื่อหาคำตอบว่าเหตุใด “ฮุน เซน” สามารถผูกขาดอำนาจอย่างต่อเนื่องถึง 40 ปี
เป็นสถิติโลกตลอดกาล!!
เหตุใด “สมเด็จฮุน เซน” ชอบทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก ทำเรื่องสั้นให้เป็นเรื่องยาว
ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตคอขาดบาดตาย
ทำให้เส้นเขตแดนที่เคยอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขกลายเป็นข้อพิพาทต้องไปยื่นฟ้องศาลโลกให้ชุลมุนวุ่นวาย
ล่าสุด “สมเด็จฮุน เซน” พยายามปลุกระดมชาวกัมพูชาให้เชื่อว่าฝ่ายไทยเป็นผู้บุกรุกดินแดนกัมพูชา
แถมปั่นหัวแรงงานชาวกัมพูชาให้รีบอพยพกลับบ้านก่อนที่รัฐบาลไทยจะไล่ตะเพิดให้พ้นประเทศไทย
ชอบเติมฟืนใส่กองไฟให้ความขัดแย้งลุกลามหนักกว่าเดิม
ขยันสร้างประเด็นร้อนที่ไร้ความจริงอย่างสิ้นเชิง
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าทุกประเด็นที่ “สมเด็จฮุน เซน” สร้างเรื่องราวกล่าวหาประเทศไทย
เป็นเรื่องคิดเอง เออเอง โวยเองทั้งนั้นเลย
เพราะรัฐบาลไทยไม่เคยมีความคิดจะขับไล่แรงงานกัมพูชาออกจากประเทศไทย
พี่น้องชาวไทยไม่เคยคิดว่าพี่น้องแรงงานชาวกัมพูชาเป็นศัตรู
ชาวไทยและชาวกัมพูชาอยู่ร่วมกันอย่างสนิทสนมกลมเกลียว
ปัจจุบันมีแรงงานชาวกัมพูชาที่จดทะเบียนเข้ามาทำงานอย่างถูกต้องในประเทศไทยกว่า 4.3 แสนคน
และแรงงานกัมพูชาที่หลอยเข้ามาทำงานไม่ลงทะเบียนอีกกว่า 6 แสนคน
รวมแล้วมีชาวกัมพูชาเข้ามาทำงานในเมืองไทยกว่า 1 ล้านคน
ส่วนใหญ่มีงานทำอย่างมั่นคง สามารถส่งรายได้ไปเลี้ยงครอบครัวอย่างสุขสบาย
“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่ามีแรงงานชาวกัมพูชาน้อยมากๆจะหลงเชื่อพายุปลุกปั่นของสมเด็จฮุน เซน
...
ยอมทิ้งงานที่ทำอยู่ในเมืองไทยกลับไปหางานทำในกัมพูชา
ตราบใดที่ด่านข้ามแดน 2 ประเทศยังไม่ปิดตาย ใครจะอยากทิ้งงานที่รายได้สูงกว่าไปหางานที่รายได้น้อยกว่าในบ้านตัวเอง??
แม้รัฐบาลกัมพูชายืนยันว่ามีตำแหน่งงานว่างพร้อมรับแรงงาน
กลับบ้านกว่า 70,000 คน
พร้อมจัดรถรับส่งแรงงานกัมพูชาจากชายแดนไทยกลับบ้านอย่างสะดวกสบาย
แต่ตำแหน่งงานว่างแค่ 70,000 คน ไม่เพียงพอที่จะรับกองทัพแรงงานกัมพูชากว่าหนึ่งล้านคนจากประเทศไทย
ข้อสำคัญหากกองทัพแรงงานกัมพูชาแห่ย้ายกลับบ้านจริง??
กองทัพแรงงานจากเมียนมาก็พร้อมเสียบแทน!!
แผนปลุกระดมแรงงานกัมพูชากลับบ้านของ “สมเด็จฮุน เซน” จึงไม่เกิดผลกระทบประเทศไทย
แต่กลับเพิ่มภาระให้กัมพูชาเสียเอง
ทำใจร่มๆ คิดเรื่องเป็นกุศลเสียบ้างดีกว่านะโยม.
“แม่ลูกจันทร์”
คลิกอ่านคอลัมน์ “สำนักข่าวหัวเขียว” เพิ่มเติม