ก็เป็นไปตามความคาดหมายเมื่อแพทยสภาได้ลงมติเสียงข้างมาก 2 ใน 3 ยืนมติเดิมที่ให้ลงโทษแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับชั้น 14 รพ.ตำรวจ
1 คน ถูกตักเตือน อีก 2 คน ให้ยุติการใช้ใบประกอบวิชาชีพ
บอกแล้วไงเล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับ “หมอ” มีศักดิ์ศรียืนหยัดในความถูกต้อง แม้ฝ่ายการเมืองจะใช้เล่ห์เพทุบายในรูปแบบต่างๆ
แต่ก็ไม่เป็นผล
ขนาดว่า “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รัฐมนตรีสาธารณสุข ที่วีโต้มตินี้ และขอเข้าไปร่วมประชุมก็ได้รับอนุญาต แต่มีข้อแม้ว่า
ต้องเข้าไปคนเดียวและให้เวลาชี้แจงเพียง 15 นาทีเท่านั้น
ความจริงเรื่องนี้ หากมองตามรูปการณ์และสภาพความเป็นไปแล้วไม่น่าจะหาความจริงยาก แต่เนื่องจากมีกระบวนการที่ซับซ้อนในการตรวจสอบ
ยื่นหน่วยงานตรวจสอบหลายแห่งก็ไม่มีความคืบหน้า
สุดท้ายก็มาลงเอยที่แพทยสภา ซึ่งเป็นองค์กรที่รับผิดชอบ โดยตรงเพราะมันเกี่ยวกับการวินิจฉัยการเจ็บป่วยก่อนที่จะส่งไปโรงพยาบาล
คือต้องอาศัยแพทย์ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงว่าจะนำไปรักษาตัวนอกคุกนั้นมีอาการอย่างไร ปรากฏว่าแพทย์ได้วินิจฉัยว่าป่วยจริงอาการถึงขั้น “วิกฤติ” ต้องไปรักษาโรงพยาบาลภายนอก
ก็คงไม่ต้องมีอะไรสงสัยแล้วเมื่อแพทยสภาลงมติย้ำมติเดิมด้วยเสียง 2 ใน 3 ตามกติกาที่ใช้ปฏิบัติ ถือเป็นการยุติเบื้องต้น
“ป่วยทิพย์” ไม่ได้มีอาการหนักหนาจนต้องนำตัวไปรักษาที่ รพ.ตำรวจ
นั่นเพราะมีการวินิจฉัยเพื่อช่วยเหลือกัน!
ขั้นตอนต่อไปก็คือการนำผลการพิจารณาเรื่องนี้ให้ศาลรับไปประกอบเป็นข้อมูลเพื่อดำเนินการว่า เพราะเหตุนี้จึงทำให้ได้ไปรักษาตัวนอกคุก
ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่จะชี้ผิด–ถูกได้!
ศาลจะมีการพิจารณาไต่สวนเรื่องนี้หลังจากที่ได้รับคำชี้แจงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึง “ทักษิณ ชินวัตร” ต้นเหตุสำคัญ
...
เบื้องต้นกำหนดเอาไว้วันที่ 13 มิ.ย.2568 ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงไปชี้แจง แต่ในส่วนของ “ทักษิณ” นั้นได้ให้ทนายความไปยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอขยายเวลาไปอีก 30 วัน
แต่ศาลให้เวลาเพียงแค่ 10 วัน คือวันที่ 23 มิ.ย.68 ที่จะต้องส่งคำชี้แจง
และจะไม่ไปศาลด้วยตนเอง โดยจะส่งทนายไปรับฟัง ซึ่งก็ไม่ผิดกติกา เพราะยังไม่ถึงวันที่มีคำพิพากษา ซึ่งจะต้องไปด้วยตัวเอง
กรณีนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ทางการเมือง เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวพันรัฐบาลอย่างแยกไม่ออก เนื่องจาก “ทักษิณ” เป็น “พ่อ” นายกรัฐมนตรีที่กุมบทบาททั้งหมด
ไม่ใช่เฉพาะ “ลูก” เท่านั้น แต่หมายรวมถึงรัฐบาลด้วย!
แม้ “ทักษิณ” จะมั่นใจว่าเขาไม่มีทางต้องติดคุก เพราะยังผูกพันกับดีลลับตั้งแต่เดินทางกลับประเทศไทย ทำให้เขาไม่ค่อยจะซีเรียสมากนัก
แต่สถานการณ์การเมืองได้เปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะที่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆได้อย่างที่ตกลงกันไว้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ไม่เกิดความแตกแยกในสังคมไทย
ตรงกันข้ามกลับสร้างปัญหาเพิ่มมากขึ้น
ล่าสุดก็เกิดปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา ถึงขั้นจะต้องทำสงครามกันเนื่องจากการรุกล้ำเขตแดนของกัมพูชา
“ทักษิณ” ที่สนิทสนมกับ “ฮุน เซน” แต่กลับปล่อยให้เรื่องบานปลาย
จนเกิดความสงสัยกันว่าเขายืนอยู่ฝ่ายไหนกันแน่
จนสร้างความไม่พอใจให้กับคนไทยจำนวนมาก!
“สายล่อฟ้า”
คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม