ไทยสื่อสารถึงนานาชาติรับรู้สถานการณ์ ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา หลังผลเจรจาสองฝ่าย ทหารเขมรยอมถอย-กลบ หลุมเพลาะที่ช่องบก ขณะที่ “ฮุน เซน” สวนทันที ไม่ได้ถอนกำลังทหาร แต่ปรับกำลังเลี่ยงการปะทะ อ้างประชาชนไม่อยากเห็นสงคราม ขณะเดียวกัน “ภูมิธรรม” โอ่เพราะการคุยในทุกระดับ จึงสำเร็จ ส่วนการประชุมเจบีซี 14 มิ.ย.นี้ยังไม่มีการถกเรื่อง 3 ปราสาท “ตาเมือนธม-ตาเมือนโต๊ด-ตาควาย” ที่เขมรจ้องฮุบ แต่ รมว.กต.กัมพูชาร่อนจดหมายถึง “มาริษ” เรียกร้องนำกรณี “ช่องบก-3 ปราสาท” ยื่นต่อศาลโลก ช่วยสร้างความกระจ่างเรื่องพรมแดน มั่นใจมีความยุติธรรม เป็นกลาง ด้าน กต.ไทยโต้กลับอีกดอก ปรับลดวีซ่าเขมรอยู่ไทยได้แค่ 7 วัน สำหรับวันแรกของการเปิดด่านตามเวลาใหม่ คนแห่ไปรอจนแน่น
สถานการณ์การพิพาทพื้นที่ชายแดนไทยที่ถูกทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาจนเกิดการปะทะกัน บริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ที่แม้ล่าสุดทหารกัมพูชายอมถอนกำลังกลับไปอยู่ที่ตั้งเดิมและกลบหลุมคูเลตที่ลักลอบเข้ามาขุดเป็นที่เรียบร้อย หลังไทยใช้มาตรการกดดันด้วยการเลื่อนเวลาเปิดปิดจุดผ่านแดนใน 7 จังหวัดที่มีพรมแดนติดกัน แต่สถานการณ์ก็ยังไม่นิ่ง
ฮุน เซนอ้างแค่ปรับกำลังทหาร
มีรายงานเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ว่า เมื่อกลางดึกวันที่ 8 มิ.ย. สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้โพสต์ในสื่อโซเชียลส่วนตัวหลังทราบข่าวทหารกัมพูชาถอนกำลังจากพื้นที่พิพาทบริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี โดยระบุว่าเป็นการปรับกำลังทางทหารในพื้นที่ที่มีแนวโน้มจะเกิดความขัดแย้ง ผ่านความเข้าใจของผู้บัญชาการทหารของทั้งสองฝ่าย คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยหลีกเลี่ยงการปะทะขนานใหญ่อย่างรุนแรง ประชาชนชาวกัมพูชาและไทยต้องการสันติภาพที่ยั่งยืน และไม่อยากเห็นสงคราม
...
เขมรกลัวถูกตัดไฟรีบขอเจรจา
ผู้สื่อข่าวสายทหารรายงานเบื้องหลังการเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชา จนปรับถอยกำลังจุดปะทะช่องบก สามเหลี่ยมมรกต จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ว่า เจ้าหน้าที่ทหารบกระดับสูงฝ่ายไทยได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการของกัมพูชา โดยกัมพูชาสอบถามเรื่องที่ไทยจะมีมาตรการตัดไฟจริงหรือไม่ เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงไทยยืนยันว่าจะใช้มาตรการจากเบาไปหาหนักตามหลักสากล ขั้นสุดท้ายจะเป็นการตัดไฟ พร้อมย้ำว่าการวางกำลังของทหารกัมพูชาล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทย ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงกัมพูชาได้ไปเสนอกับสมเด็จฮุน เซนว่า อยากให้ทั้งสองฝ่ายปรับกำลังในพื้นที่ กลับไปอยู่ในจุดเดิมเมื่อปี 2567 จึงเป็นที่มาของการที่ พล.ท.สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ได้ประสาน พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อขอหารือ เรื่องการปรับกำลังดังกล่าว โดยแม่ทัพภาคที่ 2 รายงานมายัง ผบ.ทบ. จึงมีคำสั่งให้จัดชุดหารือ นำโดยผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี (ผบ.กกล.สุรนารี) เข้าไปพูดคุยกับกัมพูชา เป็นที่มาของการปรับกำลังดังกล่าว
“ภูมิธรรม” โอ่คุยทุกระดับจึงสำเร็จ
ในช่วงสายวันที่ 9 มิ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกัมพูชาถอยกำลังกลับไปอยู่จุดเดิมเมื่อปี 2567 พร้อมปิดกลบคูเลต (หลุมเพลาะ) ว่ามีหลายปัจจัยทำให้เกิดความสำเร็จ เป็นกระบวนการพูดคุยกันทุกระดับ ตั้งแต่ระดับสูง นายกฯไทยคุยกับ นายกฯกัมพูชา รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมไทยคุยกับรองนายกฯ และ รมว.กลาโหมกัมพูชา ผบ.ทหารสูงสุด ผบ.ทบ. แม่ทัพภาคที่ 2 ประสานงานกันตลอด ได้ให้ทูตทหารของเรากับกัมพูชาเป็นตัวประสานขับเคลื่อน คุยกันมาต่อเนื่องตลอดจนเวลา 11.00 น. วันที่ 8 มิ.ย.สมเด็จฮุน เซน อยากหาข้อสรุปที่เป็นสันติ คิดว่าการเกิดสงครามไม่มีประโยชน์ การสั่งให้ทหารรบกันมันเร็วและง่าย แต่ความสูญเสียเกิดขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย สิ่งสำคัญทำอย่างไรให้ยุติโดยไม่มีความสูญเสีย
ถกเจบีซี 14 มิ.ย.ไม่คุยเรื่องปราสาท
นายภูมิธรรมกล่าวอีกว่า ทางระดับสูงของกัมพูชายินยอมหาทางออกร่วมกัน จากนั้นกองทัพกัมพูชาได้ประสานผ่านมาทางทูตทหารให้ลงไปสำรวจพื้นที่ด้วยกัน หลีกเลี่ยงเผชิญหน้าโดยเฉพาะจุดที่ปะทะกัน เราส่งรองแม่ทัพภาคที่ 2 ไป เพราะคุ้นเคยพื้นที่ จึงออกมาในสถานการณ์ที่ดี ข้อตกลงที่เราขอคือหลังจากนี้อยากให้ทั้งสองฝ่ายเดินสำรวจพื้นที่ด้วยกัน ให้เป็นเหมือนเดิมที่เคยทำ ให้กลบคูเลตและปรับกำลังไปเหมือนในปี 2567 เป็นช่องทางทำให้ยุติได้อย่างสงบ ปรับกำลังกันไป เขาอยู่ในจุดเดิมของเขา เราอยู่ในจุดเดิมของเรา ถือว่าเราประสบความสำเร็จยุติการเผชิญหน้าที่เป็นข้อแรกสุดที่เราอยากได้ เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายลง ขณะนี้อยู่ในจุดที่ยุติเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้จะประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) วันที่ 14 มิ.ย. ข้อเสนอกัมพูชาจะคุยในเชิงเทคนิค แต่เราอยากให้เคลียร์ตรงนี้ให้ชัดเจนว่า เส้นแดนตรงนี้จะประคองกันไปอย่างไรจนกว่ามีข้อตัดสิน ส่วนกรณีปราสาทต่างๆ ยืนยันยังไม่อยากพูดคุยในรอบนี้ หากเขาหยิบขึ้นมาเราพร้อมรับฟัง
เร่งกำหนดคลี่คลายปมเขตแดน
นายภูมิธรรมกล่าวอีกว่า ส่วนการปิดด่านต่างๆ ใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก ความอดทนอดกลั้นครั้งนี้ ต้องขอบคุณกองทัพที่เข้าใจมาโดยตลอด และประสานงานช่วยแก้ไขปัญหาจนกระทั่งสำเร็จ จบลงด้วยดี ทุกอย่างที่ได้คุยกัน ตนได้ให้ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม เป็นคนประสานงานกับเหล่าทัพ ส่วนตนคุยเฉพาะเรื่องสำคัญ ถ้ามีปัญหาอะไรให้แจ้งมา จากนี้ไปคงต้องกำหนดการคลี่คลายเขตแดนกับกัมพูชา และต้องวางมาตรการระยะยาวต่อไป มาตรการที่เราทำอาจเป็นส่วนเสริมสำคัญที่ทำให้การพูดคุยเกิดเป็นข้อสรุปได้ง่ายขึ้น และเชื่อว่าจะค่อยๆคลี่คลาย ที่ตึงเครียดจริงแถวช่องบก สามเหลี่ยมมรกต ต้นพญาสัตบรรณ ก็คลี่คลายลง
“บิ๊กเล็ก” ชี้เป็นชัยชนะ 2 ฝ่าย
ขณะเดียวกัน พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช. กลาโหม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก สนามไชย 2 ว่า ขอแสดงความยินดีไทย-กัมพูชา บรรลุผลสำเร็จการเจรจาทางการทูต นับเป็นชัยชนะของทั้ง 2 ฝ่ายในระดับยุทธศาสตร์ ปราศจากการปฏิบัติการทางยุทธวิธีและการสูญเสีย นำมาสู่การลดความตึงเครียด ด้วยการปรับการวางกำลังทหาร กลับสู่พื้นที่เดิมของตนในปี 2567 ขอหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า “ถอนตัว” หรือ “ถอย” พร้อมแสดงเจตนาร่วมกันนำปัญหาสู่โต๊ะเจรจา เดินหน้ากลไกทวิภาคีที่มีอยู่แล้ว ทั้ง 3 ระดับ เพื่อยุติปัญหาได้อย่างยั่งยืนต่อไป เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งการเจรจาตามหลักสันติวิธี และขอชื่นชมกำลังพลกองทัพทุกระดับปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ อดทนอดกลั้น และมีวินัยสูงสุด สร้างความอุ่นใจให้กับพี่น้องประชาชนแนวหลัง และขอชื่นชมพี่น้องประชาชนชาวไทยที่ได้ร่วมแรง ร่วมใจ แสดงออกถึงความรักความสามัคคีเป็นกำลังใจให้ทหารของเราอย่างต่อเนื่อง ท้ายนี้ ขอร่วมกันรักษาความสัมพันธ์อันดี เพื่อร่วมกันพัฒนาบ้านเมือง และขับเคลื่อนภูมิภาคนี้ผ่านพ้นความยากลำบากจากภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน ไปสู่สันติภาพและความมั่นคงที่ยั่งยืนสืบไป
กองทัพไทยชี้แจงนานาชาติ
วันเดียวกัน พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่า ภายหลังการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. กรมข่าวทหารชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาให้ผู้ช่วยทูตทหารนานาชาติได้รับทราบข้อมูลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแนวทางและมาตรการด้านความมั่นคงฯ บริหารจัดการความมั่นคงในพื้นที่ตามแนวชายแดนที่ออกโดยกองทัพบก และกองกำลังป้องกันชายแดนที่รับผิดชอบรวม 6 ฉบับ และเอกสารแปลคำสั่งด้านความมั่นคงอีก 5 ฉบับ รวม 11 ฉบับ ให้สำนักงานผู้ช่วยทูตทหาร ต่างประเทศ/กรุงเทพฯ และผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ ประจำกรุงเทพฯ ซึ่งมีถิ่นพำนัก ณ ต่างประเทศ รวม 42 ประเทศ รวมถึงสำนักงานผู้ช่วยทูตทหารไทย/ต่างประเทศ 26 สำนักงาน
เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจด้านการทูตทางทหารในการชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อันเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันในระดับสากล พร้อมทั้งคงไว้ซึ่งความร่วมมือด้านความมั่นคง และความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศอย่างมั่นคงและยั่งยืน
กห.เขมรยันไม่ถอนกำลังทหาร
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กระทรวงกลาโหมกัมพูชาออกแถลงการณ์แจกแจงสถานการณ์ความตึงเครียดทางพรมแดน โดยระบุว่า 1.กองทัพกัมพูชายังไม่ถอนกำลังออกพื้นที่อธิปไตยของกัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่ที่ถูกครอบครองไปเป็นเวลานาน 2.การเตรียมความพร้อมของกองทัพกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นการวางกำลัง การโยกย้ายกำลัง หรือการระดมพล กระทำภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา และมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือการพิทักษ์ความเป็นปึกแผ่นของดินแดนกัมพูชา 3.แม้ว่ากองทัพกัมพูชาจะสนับสนุนการหาทางออกจากความขัดแย้งด้วยสันติวิธี แต่ก็พร้อมที่จะดำเนินการตามคำสั่งของรัฐบาลกัมพูชาอย่างเต็มที่ เพื่อปกป้องความเป็นปึกแผ่นของดินแดนจากการรุกล้ำ 4.กองทัพกัมพูชาสนับสนุนการเจรจาเรื่องพรมแดนกับไทย โดยเฉพาะผ่านการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทย-กัมพูชา (JBC) เพื่อการปักปันพรมแดนในจุดที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย แต่ไม่นับรวมพื้นที่ที่รัฐบาลกัมพูชามีแผนการนำเสนอต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมกัมพูชาขอเรียกร้องให้ประชาชนทุกคนรับฟังข่าวสารที่น่าเชื่อถือ มีที่มาที่ไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะข่าวสารจากรัฐบาลและกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ที่มีความเที่ยงตรง น่าเชื่อถือ และพึ่งพาได้
กต.เขมรวอนไทยขึ้นศาลโลก
ขณะที่นายปรัก สุคน รมว.ต่างประเทศกัมพูชา ส่งจดหมายถึงนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศของไทย เรียกร้องว่าหนทางที่ดีที่สุดสำหรับสันติภาพคือการนำประเด็นช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) การตัดสินของศาลไอซีเจ ซึ่งอยู่บนพื้นฐานกฎหมายระหว่างประเทศ จะมีความยุติธรรม เป็นกลาง และมอบข้อสรุปที่ยั่งยืน พร้อมช่วยสร้างความกระจ่างในเรื่องพรมแดน ที่สำคัญยังช่วยส่งเสริมบรรยากาศของสันติภาพที่ยั่งยืน มีเสถียรภาพ และความร่วมมือระหว่างเราสองประเทศ การดำเนินการในทิศทางเช่นนี้ยังเป็นการแสดงความมุ่งมั่นว่ากัมพูชาและไทยช่วยกันรักษากฎหมาย พิทักษ์ความปรองดองในภูมิภาค และมุ่งหวังให้ประชาชนทั้งสองประเทศในประชาคมอาเซียนประสบความเจริญรุ่งเรือง ด้วยเหตุนี้ จึงขอวิงวอนด้วยความเคารพให้รัฐบาลไทยพิจารณาร่วมกระบวนการศาลไอซีเจ คว้าโอกาสในการหาทางออกผ่านการเจรจาอย่างสันติ ใช้กฎหมายคลี่คลาย และเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันสืบไป
ใช้มาตรการเปิดปิดด่านต่อไป
ต่อมาเวลา 14.50 น. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงสถานการณ์พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังมีการตกลงร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ที่นำไปสู่การปรับลดกำลังทหาร กลับไปอยู่ในแนวพื้นที่ที่ตกลงกันไว้ในช่วงสถานการณ์ปกติเมื่อปี 2567 โดยฝ่ายไทยเห็นว่าเป็นสัญญาณที่ดีและสะท้อนถึงความจริงใจของฝ่ายกัมพูชา ลดความตึงเครียดของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นผลมาจากการเจรจาในทุกระดับของทั้ง 2 ฝ่าย พร้อมย้ำถึงมาตรการควบคุมจุดผ่านแดนต่างๆ ยังมีต่อไปตามการประเมินของฝ่ายความมั่นคง เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่และความปลอดภัยของประชาชนทั้ง 2 ฝั่ง
ยังไม่กำหนดหารือข้อเสนอ ศอ.ปชด.
อธิบดีกรมสารนิเทศยังกล่าวถึงกรณีศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ศอ.ปชด.) ประกาศจะยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อาทิ ตัดกระแสไฟฟ้า ระงับสัญญาณอินเตอร์เน็ต ที่ส่งเข้าไปฝั่งกัมพูชา ที่มีบ่อนการพนันหรือสแกมเมอร์ การควบคุมสินค้าและยุทโธปกรณ์ที่อาจถูกนำไปใช้ก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีข้ามชาติ โดย ศอ.ปชด.จะนำเสนอมาตรการดังกล่าวเข้าที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ต่อไป แต่ยังไม่มีกำหนดประชุม
ลดวีซ่าเขมรให้อยู่ไทยแค่ 7 วัน
นายนิกรเดช กล่าวอีกว่า กรณี ตม.กัมพูชาจะลดระยะวันเวลาวีซ่าสำหรับคนไทยที่เข้าไปในกัมพูชาจากเดิม 60 วัน เหลือ 7 วัน ฝ่ายไทยได้ปรับลดระยะเวลาวีซ่าสำหรับคนกัมพูชาให้อยู่ไทยได้แค่ 7 วันเช่นกัน โดยยังไม่มีกำหนดมาตรการนี้ไปถึงเมื่อไหร่ คงต้องรอให้สถานการณ์ดีขึ้นก่อนที่ 2 ฝ่ายจะมาพูดคุยกันถึงการขยายเวลาการอยู่ในประเทศต่อไป ส่วนที่กัมพูชายืนยันไม่นำข้อพิพาท 4 พื้นที่ที่จะเสนอต่อศาลโลก มาหารือในที่ประชุมเจบีซีนั้น ตอนนี้ทั้ง 2 ฝ่ายเริ่มพูดถึงวาระการประชุม จึงยังเร็ว เกินไปที่จะบอกว่ามีการคุยถึงเรื่องนี้หรือไม่
คนชายแดนแน่นรอด่านเปิด
ส่วนบรรยากาศโดยรวมใน 7 จังหวัดที่มีชายแดนติดกัมพูชา ได้แก่ อุบลราชธานี สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สระแก้ว จันทบุรี และตราด ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลอดช่วงเช้า ที่หน้าด่านจุดผ่านแดนทุกแห่งต่างคึกคักเนืองแน่นไปด้วยผู้คน เนื่องจากมีการเปิดจุดผ่านแดนให้ผ่านเข้าออกระหว่างประเทศได้ตามการกำหนดเวลาใหม่ โดยที่ด่าน ตม.อรัญประเทศ จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ที่ปรับเวลาเปิด-ปิดด่านจากเวลา 06.00 -22.00 น. มาเป็นเปิดเวลา 08.00-16.00 น. มีชาวกัมพูชาที่ทำงานในไทย และคนไทยที่จะเดินทางไปทำงานที่บ่อนกาสิโนฝั่งปอยเปต กัมพูชา รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่จะเดินทางออกนอกประเทศกว่า 1,000 คน มายืนออรอเพื่อตรวจหนังสือเดินทางออกไปกัมพูชา จนล้นออกมานอกอาคาร แถวยาวไปถึงบริเวณจุดตรวจด่านศุลกากรอรัญประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้ทางไทยจะเปิดด่านเวลา 08.00 น. แต่ฝั่งกัมพูชายังคงเปิดด่านเวลา 09.00 น. ทำให้เกิดปัญหาในการประสานเวลาและส่งผลให้ประชาชนทั้งสองฝั่งต้องรออยู่นานขึ้น
เขมรมารักษาตัวตกค้างเพียบ
ไม่ต่างจากที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา ด่านช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ที่กำหนดเปิดเฉพาะวันจันทร์-พุธ-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.00-15.00 น. ส่วนฝั่งกัมพูชาเปิดด่านเวลา 09.00 น. ทำให้มีชาวกัมพูชาตกค้างอยู่ฝั่งไทยกว่า 200 คน ส่วนใหญ่มาจากจังหวัดเสียมเรียบ กำปงธม กำปงจาม และพนมเปญ เป็นผู้ป่วยและครอบครัวที่เดินทางมาใช้บริการรักษาสุขภาพที่โรงพยาบาลในไทย เดินทางมารอตั้งแต่ก่อนเวลา 08.00 น. เพื่อที่จะได้เดินทางกลับประเทศ โดยใช้พาสปอร์ต จึงไม่เป็นปัญหาในการเดินทางข้ามแดน
การค้าซบไม่ถึงกับสะดุด
ส่วนบรรยากาศการรอการเปิดด่านของฝั่งกัมพูชา เจ้าหน้าที่ต้องรอโทรศัพท์จากผู้ว่าจังหวัดอุดรมีชัย กระทั่งเวลา 09.09 น. กัมพูชาจึงได้ฤกษ์มาเปิดประตูเหล็กหน้าด่าน อนุญาตให้ประชาชนนำสินค้า รถยนต์ที่ขนจำพวกสินค้าเกษตรข้ามเข้ามาได้ แต่บรรยากาศยังไม่คึกคัก โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทย ตั้งด่านบูรณาการตรวจยานพาหนะและประชาชนที่เดินทางผ่านเข้าออกจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำอย่างเข้มงวด ด้านสินค้าที่ผ่านเข้ามาฝั่งไทยโดยรถเข็นของชาวกัมพูชา ส่วนใหญ่เป็นเห็ดระโงก เห็ดเผาะ และแมลง ที่มีคนไทยมารอรับบริเวณหน้าด่าน กระทั่งใกล้เวลาปิดด่านฝั่งไทยในเวลา 15.00 น. ยังคงมีชาวกัมพูชาทยอยเดินทางเข้ามาที่ด่านกันคึกคัก ส่วนมากเข้ามาหาซื้อสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภค เช่น อาหารสด ผลไม้ เครื่องครัว และขนข้ามไปยังกัมพูชา ส่วนการปิดด่านของฝั่งกัมพูชาช้ากว่าฝั่งไทย 1 ชั่วโมง คือเวลา 16.00 น. ทั้งนี้ นายประสิทธิ์ ดีจงเจริญ นายด่านศุลกากรช่องสะงำ เปิดเผยว่า สถานการณ์โดยทั่วไปเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เนื่องจากนี้ยังมีการหารือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงาน ประชาชน ผู้ประกอบการ และปรับเวลาตามสถานการณ์ ส่วนจำนวนผู้ใช้บริการลดลงประมาณร้อยละ 30 ขณะที่ทางศุลกากรยังเพิ่มมาตรการตรวจสินค้าเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่มีความอ่อนไหวประเภทต่างๆ
ดีใจได้ข้ามแดนกลับบ้าน
ขณะที่จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ สถานการณ์ตลอดวันยังคงเป็นปกติ โดยมีชาวกัมพูชาที่ตกค้างฝั่งไทย คนไทยที่ขับรถ จยย.รับจ้าง และรถตู้โดยสาร รวมถึงรถบรรทุกขนส่งสินค้ามาจอดรอยาวเหยียดที่บริเวณฐานกลางของทหารไทย ห่างจากประตูด่านออกมาประมาณ 350 เมตร และเมื่อถึงเวลา 09.00 น. ฝั่งกัมพูชาปลดล็อกกุญแจเพื่อเปิดประตูด่าน ท่ามกลางความดีใจของชาวกัมพูชาส่วนใหญ่ที่มารอข้ามแดนกลับประเทศ
แห่บริจาคสิ่งของให้ทหาร
ส่วนที่ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ประชาชนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้กับแนวชายแดนต่างรู้สึกดีใจที่จะได้ออกมาใช้ชีวิต ออกไปทำนา ทำไร่ ทำสวน และจับกลุ่มคุยกันตามปกติ หลังจากมีการเจรจากันของทหารฝ่ายไทยกับฝ่ายกัมพูชา ที่ยอมถอนกำลังออกจากบริเวณพื้นที่ และปิดกลบแนวคูเลตดังเดิม โดยส่วนใหญ่อยากให้ทั้ง 2 ประเทศ พูดคุยกันด้วยสันติวิธีและไม่อยากให้เกิดสงครามหรือการสู้รบ อยากจะเห็นประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ อยู่ร่วมกันและทำมาค้าขายกันอย่างปกติสุข ขณะเดียวกัน ตลอดวันยังคงมีประชาชน จิตอาสานำยางรถยนต์ เครื่องอุปโภคบริโภคมาบริจาคเพื่อส่งมอบต่อไปให้กับทหารตามแนวชายแดนใน 7 จังหวัดดังกล่าว อาทิ นายมนู โกมลชนะนันท์ ตัวแทนมูลนิธิกันจอมพลัง ช่วยสู้ และกู้ภัยสยามบุรีรัมย์ นำโดย นายวรบดินทร์ รุ่งโรจน์ชัยกุล หัวหน้ากู้ภัยสยามรวมใจ บุรีรัมย์ ร่วมกันนำยางรถยนต์และทราย 15 คันรถ พร้อมรถแบ็กโฮไปช่วยกันปรับปรุงและทำบังเกอร์ฐาน ตชด.แห่งหนึ่งชายแดนไทย-กัมพูชาในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ เช่นเดียวกับที่หน้าปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ยังมีนักท่องเที่ยวและประชาชนที่นำสิ่งของมามอบให้เหล่าทหารไม่ขาดสาย
เขมรเปิดด่านช้าทำเด็กขาดเรียนอื้อ
สำหรับที่บริเวณหน้าด่านชายแดนบ้านหาดเล็ก ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด มีรถขนส่งสินค้า ทั้งรถตู้คอนเทนเนอร์ รถปูน รถผลไม้ กว่า 20 คัน ต่อแถวยาวกว่า 200 เมตร เพื่อรอข้ามแดนไปยังกัมพูชา ด้านร้านค้าตลาดชายแดนบ้านหาดเล็ก มีบางร้านที่เปิดตามปกติ แต่กว่าร้อยละ 80 ปิดร้านเงียบ เนื่องจากไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา ส่วนที่โรงเรียนบ้านหาดเล็กที่มีนักเรียนกัมพูชามากกว่านักเรียนไทย ในอัตรา 70 : 30 พบว่านักเรียนหยุดเรียนกว่าครึ่ง เนื่องจากผู้ปกครองของนักเรียนที่มาจากกัมพูชายังคงสับสนกับคำสั่งเปิด-ปิดด่าน เมื่อฝั่งกัมพูชาเปิดด่าน 09.00 น. จึงมาไม่ทันเข้าเรียน ต้องอนุโลมให้เด็กนักเรียนผ่านแดนได้ก่อนเวลา โดยทางโรงเรียนผ่อนผันให้มาถึงได้ไม่เกิน 09.30 น. และปล่อยเด็กกลับบ้านก่อนเวลาเลิกเรียน 1 ชั่วโมง เพื่อให้ทันเวลาไทยปิดด่าน 16.00 น.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่