ปัญหาหนี้สินของคนไทย เป็นอีกเรื่องที่รัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญ มี นโยบายแก้ไข ทั้งหนี้สินนอกระบบ หนี้สินครัวเรือน หนี้ส่วนบุคคลออกมาต่อเนื่อง โดยไม่นานมานี้ ทีมที่ปรึกษานโยบายเศรษฐกิจของนายกฯ ก็พิจารณาแนวทางที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เสนอให้รัฐบาลซื้อหนี้จากสถาบันการเงินนำมาแก้ไข

โดยรัฐบาลจะจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ ตั้งกองทุนเข้ามาบริหารจัดการหนี้สินกลุ่มนี้ ขณะที่ประชาชนที่เป็นหนี้ก็จะได้รับการปลดชื่อออกจากบัญชีดำเครดิตบูโร เพื่อคืนประวัติการเงินที่ดี ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อของธนาคาร หรือมีแหล่งทุนกู้ยืม เพื่อนำไปประกอบอาชีพ ทำธุรกิจค้าขาย ให้ดำเนินชีวิตกันต่อไปได้

แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีความคืบหน้าในแนวทางการซื้อหนี้ แก้หนี้ดังกล่าว แต่ยังมีโครงการอื่นๆออกมาอีก เช่น มาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” โดยรัฐร่วมกับสถาบันการเงินช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีหนี้เสียจากการซื้อบ้าน และซื้อรถยนต์ รวมทั้งผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม โดยมีเป้าหมาย
ช่วยเหลือลูกหนี้กว่า 2 ล้านราย

มาถึงวันนี้ มีลูกหนี้สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมแค่ครึ่งเดียว จากเป้าหมายที่วางไว้ ทำให้รัฐบาลเตรียมปรับแผนและเงื่อนไขต่างๆ ลดดอกเบี้ยค้างจ่าย มาตรการจ่าย ปิด จบ และขยายเวลาลงทะเบียนโครงการไปถึงสิ้นเดือน มิ.ย.นี้ เน้นช่วยลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท คิดเป็น 35 เปอร์เซ็นต์ ของหนี้เสียรวม 1.2 ล้านล้านบาท

นอกจากนี้ รัฐบาลยังเตรียมแนวทางแก้ปัญหาอื่นๆเพิ่มเติม ล่าสุดกระทรวงการคลังเตรียมเสนอมาตรการแก้หนี้รายย่อย โดยจัดตั้งกองทุนใช้งบฯ 1 หมื่นล้านบาท ตัดทิ้งหนี้ หรือแฮร์คัตหนี้เสียรายย่อย 3 ล้านกว่าราย ในกลุ่มประชาชนที่มีหนี้ไม่สูง แต่เป็นหนี้เสียติดบัญชีเครดิตบูโรมานาน และกลุ่มเกษตรกรลูกหนี้ ธ.ก.ส. อายุเกิน 70 ปี

...

เอาเป็นว่ารัฐบาลได้ทยอยออกแนวทางแก้ปัญหาหนี้สินกลุ่มต่างๆ รับมือสถานการณ์เศรษฐกิจเนื่องจากภาวะหนี้ครัวเรือนสูงเมื่อเทียบอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ กระทบการลงทุน การประกอบธุรกิจ ค้าขาย รวมทั้งการบริโภคของประชาชน ส่งผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวม จึงเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลให้ความสำคัญ

อย่างไรก็ดี ทุกมาตรการในการแก้ปัญหาหนี้สินที่ออกมาจะต้องพิจารณารอบคอบรอบด้าน มีเงื่อนไขจูงใจที่ดี ตรงตามความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ไม่สะเปะสะปะ หรือซ้ำซ้อน จนไม่ได้รับความสนใจ ที่สำคัญจะต้องเร่งออกมาตรการช่วยเหลืออื่นๆควบคู่ เพื่อทำให้เกมแก้หนี้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจประเทศอย่างแท้จริง.

คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม