แม้จีดีพีไทยจะโตต่ำรั้งท้ายอาเซียน ราคาหุ้นก็ร่วงทุกวันสวนทางตลาดหุ้นโลก แต่ นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร ยังปลอบใจคนไทยผ่านรายการ “โอกาสไทยกับนายก แพทองธาร” ว่า “ขออย่าเสียกำลังใจในเรื่องจีดีพี จีดีพีเราโต 2.5% แปลว่าเราโตขึ้นจากปีที่แล้ว 2% ขยับขึ้น อย่าเพิ่งท้อใจ นี่เพิ่งต้นปี” ได้ฟังนายกฯปลอบใจแบบนี้ นักธุรกิจนักลงทุนก็ยิ่งถอดใจ ไม่รู้ว่านายกฯเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจดีแค่ไหน อนาคตเศรษฐกิจไทยจะไปรอดได้อย่างไร ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ สงครามการค้าโลกที่ดุเดือดขึ้นทุกวัน การแบ่งแยกทางภูมิรัฐศาสตร์โลก สหรัฐฯจะจับมือกับรัสเซียโดดเดี่ยว จีนยุโรปจะแตกแยกกับสหรัฐฯ การส่งออกไทยจะอยู่อย่างไร นายกฯไม่รู้เรื่องอะไรเลยหรือนอกจากไม่เดือดร้อนเรื่องจีดีพีแล้ว นายกฯ แพทองธาร ยังชิวชิวยกคณะบินไปร่วมงานออกบูธ “ไอทีบี เบอร์ลิน 2025” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่กรุงเบอร์ลิน ซึ่งเป็นงานขายทัวร์นานถึง 5 วัน 4–8 มีนาคม เสียเงินหลวงโดยไม่จำเป็น งานมี 3 วัน 4-6 มีนาคม นายกฯมีเวลาเหลือเฟือที่จะท่องเที่ยวช็อปปิ้ง งานแบบนี้ไม่มีนายกฯประเทศไหนไปกันสิ่งสำคัญที่ นายกฯแพทองธาร จะต้องเร่งทำ แต่ยังไม่ได้ทำ ก็คือ การวางแผนเจรจารับมือการขึ้นภาษีสินค้าไทยกับสหรัฐฯ เพราะไทยเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯถึง 41,500 ล้านดอลลาร์ มากเป็นอันดับ 10 ของโลก วันวาน คุณชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ออกมาเปิดเผยถึง ความวิตกของภาคเอกชน จนถึงขณะนี้ รัฐบาลยังไม่มีความคืบหน้าในการเตรียมพร้อมรับมือกับนโยบายทรัมป์ หากรัฐบาลยังไม่มียุทธศาสตร์การเจรจาต่อรองแบบ Single Trade Policy ก็อาจไม่ทันการรับมือ และอาจทำให้การส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯได้รับผลกระทบแน่นอน มูลค่าส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯปี 2567 อยู่ที่ 55,000 ล้านดอลลาร์ กว่า 1.8 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดถ้าการส่งออกไปยังสหรัฐฯได้รับความเสียหาย เพราะรัฐบาลไม่สนใจร่วมมือกับเอกชนตั้งทีมเจรจากับสหรัฐฯ ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งก่อนหน้านี้ สภาอุตสาหกรรมฯ สภาหอการค้าฯ สภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือฯ องค์กรภาคเอกชน ได้เรียกร้องรัฐบาลให้จัดตั้ง คณะกรรมการ ร่วมภาครัฐบาลและเอกชนเพื่อวางแผนเจรจากับสหรัฐฯ เพราะเอกชนเป็นผู้ส่งออก เป็นผู้ทำการค้ากับสหรัฐฯตัวจริง มีข้อมูลรายละเอียดต่างๆที่ชัดเจน จะทำให้สามารถวางแผนและกำหนดยุทธศาสตร์ในการเจรจาต่อรองได้อย่างชัดเจน แต่กลับไม่ได้รับการติดต่อจากรัฐบาลให้เข้าร่วมเลยมิหนำซ้ำยังมีข่าวออกมาว่า รัฐบาลไทยเสนอให้เพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ในรายการที่นำเข้าอยู่แล้ว เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง น้ำมันดิบ เป็นต้นคุณชัยชาญ กล่าวว่า ภาคเอกชนต้องการให้รัฐบาลชั่งน้ำหนักให้ดี ระหว่างการนำเข้าสินค้าเกษตรที่อาจก่อปัญหาให้กับเกษตรกรไทยในระยะยาว กับการสูญเสียมูลค่าการได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯที่ไทยได้ดุลต่อเนื่องมาหลายปี ล่าสุดปี 2567 ไทยได้ดุลมากเป็นอันดับที่ 11 ของโลก มูลค่ากว่า 35,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1.2 ล้านล้านบาท เราจะต้องเพิ่มมูลค่าการนำเข้าสินค้าเกษตรอีกเท่าไหร่ จึงจะสามารถลดการขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯได้ แต่อีกด้านหนึ่ง ไทยก็ขาดดุลการค้ากับจีนในปี 2567 สูงถึง 1.6 ล้านล้านบาท แต่รัฐบาลก็ยังไม่ได้แก้ไขปัญหาแต่อย่างใดทุกวันนี้ราคาสินค้าเกษตรก็ตกต่ำอยู่แล้ว เช่น ข้าวเปลือกเจ้าปีนี้ลดไปตันละ 2 พันกว่าบาท เหลือตันละ 7,200-9,100 บาท จนชาวนาต้องบุกทำเนียบเรียกร้องให้ประกันราคาข้าวถ้ารัฐบาลเพื่อไทย ยอมให้นำเข้าข้าวโพดถั่วเหลืองจากสหรัฐฯเพิ่มขึ้น เพื่อลดการขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ ไทยก็ไม่ต่างจากยูเครนที่ต้องยกแร่ธาตุหายากทั้งประเทศประเคนให้สหรัฐฯ อนาคตประเทศไทยน่าเป็นห่วงจริงๆนะครับ ไม่ได้พูดเล่น.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม