“นายกฯอิ๊งค์” ถกกุนซือถอยกรูดขึ้น VAT เป็น 15 เปอร์เซ็นต์ โพสต์ดับกระแสต้านยังไม่ขยับ แจง ก.คลังกำลังศึกษาปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบให้ครบทุกมิติและเป็นธรรม ยกบางประเทศค่อยเป็นค่อยไปต้องใช้เวลากว่า 10 ปี “ภูมิธรรม” โบ้ยไม่เกี่ยวรัฐบาลแจกเงินจนถังแตก ต้องรีดภาษีเพิ่ม “ไหม” เย้ยรัฐบาลโยนหินถามทางทุ่มใส่เท้าตัวเอง ชี้เหตุหลังพิงฝาหนี้ทะลุเต็มเพดาน ต้องควานหารายได้เข้ารัฐ ฉะขึ้น VAT 15 เปอร์เซ็นต์ มนุษย์เงินเดือนรายได้ 2 หมื่น จ่ายภาษีอ่วม 1 เดือน ภาคเอกชนค้านแหลก “สนั่น” ชี้เศรษฐกิจโตไม่ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่เวลามาปรับ “แสงชัย” จี้รัฐดึงธุรกิจ- แรงงานนอกระบบและผู้ค้าออนไลน์เข้าระบบ หวั่นเงินไหลออกนอกประเทศเกลี้ยง ฝ่ายค้านลับมีดยื่นซักฟอก รบ.ต้นปีหน้า “วันนอร์” นัด 13 ธ.ค. หารือวิป 3 ฝ่าย จัดคิวถกแก้ รธน.
จากกรณีมีเสียงคัดค้านทั้งจากประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลต่อแนวนโยบายการปรับโครงสร้างภาษี เพิ่มการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล-บุคคลธรรมดา โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT ไปอยู่ที่ 15% ล่าสุด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้หารือร่วมกับ รมว.คลังและทีมที่ปรึกษานโยบายของนายกฯ พร้อมประกาศยืนยันไม่มีการปรับ VAT เป็น 15% โดยกระทรวงการคลังยังอยู่ระหว่างศึกษาการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ
นายกฯถกทีมที่ปรึกษาปมขึ้น VAT
เมื่อเวลา 10.00 น. ที่บ้านพิษณุโลก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ เป็นประธานการประชุมคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี มีนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานโยบายฯ นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานที่ปรึกษานโยบายฯ นายศุภวุฒิ สายเชื้อ นายธงทอง จันทรางศุ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ที่ปรึกษานโยบาย รวมถึงมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง และนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย โดยเป็นการเลื่อนการประชุมประจำสัปดาห์ ทุกวันพฤหัสบดี เนื่องจากติดวันหยุดราชการ
...
โพสต์แจงยังไม่ปรับไปเป็น 15%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการประชุม น.ส.แพทองธารโพสต์เฟซบุ๊กถึงการหารือหลังมีกระแสข่าวประชาชนคัดค้านการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มว่า จากข้อกังวลใจของประชาชนต่อเรื่อง VAT 15% วันนี้ได้พูดคุยหารือในประเด็นดังกล่าวกับนายพิชัยร่วมกับคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี เพื่อความชัดเจน ขอสรุปเพื่อชี้แจงต่อพี่น้องประชาชน ดังนี้ 1.ไม่มีการปรับ VAT เป็น 15% 2.กระทรวงการคลัง กำลังศึกษาการปรับโครงสร้างภาษี ต้องมองทั้งระบบให้ครบทุกมิติและเป็นธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
บางประเทศรื้อภาษีต้องนานกว่า 10 ปี
3.การปรับโครงสร้างภาษีของประเทศอื่นๆใช้เวลาศึกษาและปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป บางประเทศใช้เวลาปรับเปลี่ยนกว่า 10 ปี 4.นโยบายหลักของรัฐบาล คือการลดรายจ่ายของประชาชน ลดรายจ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพของภาครัฐ ควบคู่ไปกับการหาโอกาสจากการสร้างรายได้ใหม่ให้ประชาชน ทั้งหมดนี้เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพี่น้องประชาชนคนไทย “ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่าการทำงานของรัฐบาล เราดำเนินการด้วยความรัดกุม รับฟังทุกภาคส่วน และยึดประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยของเราทุกคน” น.ส.แพทองธารระบุ
จากนั้นเวลา 12.20 น. น.ส.แพทองธาร กลับเข้าทำเนียบรัฐบาล โดยเวลา 13.30 น. ที่ห้องโดม ตึกไทยคู่ฟ้า นายกฯเป็นประธานการประชุมเตรียมการเดินทางเยือนประเทศมาเลเซียอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของดาโต๊ะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 15-16 ธ.ค.นี้ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ ความร่วมมือทั้งด้านการค้าและการบริหารจัดการชายแดนใต้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์หน้าจะประชุมวันพุธที่ 11 ธ.ค. เนื่องจากวันอังคารที่ 10 ธ.ค. เป็นวันหยุดเนื่องในวันรัฐธรรมนูญ
โบ้ยไม่เกี่ยว รบ.แจกเงินจนถังแตก
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลกรณีแนวคิดขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% เป็น 15% ว่า รัฐบาลพยายามดูอยู่นายกฯเป็นห่วงเรื่องนี้ แต่รอให้สรุปชัดเจนก่อน เราประคองมาระยะหนึ่งแล้ว ต้องดูว่าจะเป็นไปต่อหรือไม่อย่างไร เมื่อถามว่าที่ต้องขึ้นเพราะรัฐบาลถังแตกจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ไม่เกี่ยวกับถังแตกหรือไม่ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการที่ควร เพื่อให้การจัดการภาษียุติธรรมกับทุกฝ่าย สำคัญที่สุดทำอย่างไรไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน ยืนยัน ว่ารัฐบาลและนายกฯคำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชน ถ้าไม่ได้เป็นปัญหาใดๆ จะทำให้เดือดร้อนน้อยที่สุด
“ไหม” บี้ขุนคลังแถลงให้ชัดปฏิรูปภาษี
ช่วงบ่าย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ปชน. ทวีตข้อความผ่าน x โดยได้รีทวีตของนายกรัฐมนตรี ที่ชี้เเจงประชาชน เรื่องไม่มีการขึ้น VAT 15% ว่า ถอยแล้ว! แต่แค่เรื่อง VAT 15% เรื่องเดียวตามคาด แล้วเรื่องภาษีเงินได้นิติบุคคล กับเงินได้บุคคลธรรมดาจะยังเดินหน้าศึกษาตามแนวทางเดิมอยู่ไหม ถ้าไม่มีรายได้เพิ่มจาก VAT มากขนาดนั้น ภาษีนิติบุคคลคงลดได้ไม่มาก ไม่ถึง 15% แล้ว ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอัตราเดียว ไม่เป็นธรรมกับคนรายได้น้อย-ปานกลางแน่ๆ ภาษีความมั่งคั่ง Capital gains tax มาตรการลดหย่อนเอายังไง ปลัดคลังพูดแตะๆไว้หลายเรื่อง คุณพิชัยตั้งโต๊ะแถลงชัดๆถึงแนวทางการปฏิรูปภาษีทั้งระบบสักทีน่าจะดี
รัฐหลังชนฝาหนี้เต็มพิกัดระวังเงินเฟ้อ
ต่อมาช่วงเย็น น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ปชน. ให้สัมภาษณ์ในรายการเปิดปากกับภาคภูมิ เรื่อง ใครได้-ใครเสีย โครงสร้างภาษีใหม่ VAT 15% ตอนหนึ่งว่า รัฐบาลโยนมาแค่ตัวเลข 15-15-15 เดาว่านี่คือการโยนหินถามทาง วัตถุประสงค์หลักคือการเพิ่มรายได้ รัฐบาลหลังชนฝนแล้ว หนี้สาธารณะจะเต็มเพดานกู้เพิ่มไม่ได้ต้องพยายามเพิ่มรายได้ พอรัฐบาลเข้ามายังไม่พูดถึงการปฏิรูป การปรับโครงสร้างภาษีเลย ใช้เงินก่อน ใช้มือเติบ ตั้งงบขาดดุลสูงถึง 4.5% ของจีดีพี สูงที่สุดในประวัติการณ์ที่ไทยเคยมีมา ใกล้จะชนเพดานที่ 70% ถ้า VAT จะเพิ่มขึ้น 15% จริงๆ กระทบประชาชนแน่นอน ขึ้นเร็วสินค้าแพงขึ้น เงินเฟ้อเกิดขึ้นแน่นอน คนจ่าย VAT หนักสุดคือคนรายได้กลางๆ มนุษย์เงินเดือน จะเป็นกลุ่มจ่าย VAT สูงที่สุด
เงินเดือน 2 หมื่นภาษีอ่วมปีละเดือน
น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า เชื่อลำบากว่าไปลดให้คนรวย เพื่อคนรวยจะได้บริโภค พอบริโภคเยอะจะได้กลับมาช่วยคนจน เชื่อได้ยากว่าวงจรนี้จะเกิดขึ้นจริง เมื่อถามว่าขึ้น VAT จาก 7 เป็น 15% คนชั้นกลางหนักสุดลำบากแน่ๆ แล้วถ้าภาษีบุคคลธรรมดา จากขั้นบันไดเป็น 15% เท่ากัน ใครหนักสุด น.ส.ศิริกัญญาตอบว่า คนชั้นกลางอีกเช่นกัน ไปนั่งคำนวณมาแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็น 15% อัตราเดียวกันหมด ไม่มีแล้วขั้นบันได คนที่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มคือคนมีเงินเดือนน้อยกว่า 300,000 บาทต่อเดือน สมมติเงินเดือน 20,000-25,000 บาท ทำงาน 12 เดือน จ่ายภาษี 1 เดือนเลยนะ มันหนักโดยสภาพเศรษฐกิจแบบนี้เป็นเรื่องใหญ่ เมื่อถามว่านายพิชัย ชุณหวชิร รมว.คลัง บอกว่า ส่วนหนึ่งอยากดึงดูดให้คนมาทำงานในไทย น.ส.ศิริกัญญาตอบว่า อยากดึงดูดคนเก่ง คนมีความสามารถ เข้ามาทำงาน แต่กลายเป็นว่าคนอยู่ในประเทศอยู่แล้วส่วนใหญ่ต้องมารับภาระนี้ มนุษย์เงินเดือนไม่ต้องไปยุ่งไปแตะ ให้เป็นฐานขั้นบันได แต่ขั้นสูงอาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้สมดุลกับภาษีนิติบุคคล 15% ของนิติบุคคลยังต่ำเกินไป
หยัน รบ.โยนหินหล่นทับเท้าตัวเอง
เมื่อถามว่า นายกฯทวีตถอยไม่ขึ้น VAT 15% แล้ว น.ส.ศิริกัญญาตอบว่า นี่แหละเป็นเพราะเขาโยนหินถามทาง แล้วถ้ามีตัวไหนที่จะถอย ต้องถอย VAT เป็นตัวแรก อีกสองตัวยังมีเป็นการลด แต่ที่น่ากังวลคือเอาเข้าจริงต้องบอกว่า VAT อาจจะถึงเวลาที่เราต้องคิดที่จะต้องเพิ่มจริงจัง แต่ถ้าขึ้นเป็น 15% เลยไม่ควร แต่ไม่ใช่ว่าไม่ควรเพิ่มเลย ถ้าเพิ่มเป็นสัก 10% แล้วค่อยๆทยอยขึ้นปีละ 1% หรือว่า 2 ปี 1% แล้วมีมาตรการมาเยียวยาผลกระทบ ประชาชนรับได้มากกว่า บอกประชาชนด้วยถ้าเก็บภาษีเพิ่มแล้วเขาจะได้มีสวัสดิการหรือได้จากโปรเจกต์เพิ่มอะไร แบบนี้ประชาชนอาจเต็มใจจะเสียภาษีมากขึ้น แต่พอวันนี้พูดไม่ชัด พอโดนกระแสตีกลับ ถอนกลับทันทีแบบนี้ เลยทำให้ในอนาคตถ้าวันหนึ่งต้องคิดเพิ่ม VAT จริงๆ เท่ากับรัฐบาลยังไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรให้ประชาชน การโยนหินถามทางรอบนี้ มีบางท่านบอกว่าโยนหินทับเท้าตัวเอง ไปไม่พ้นตัวเท่าไหร่
“จุลพงศ์” เหลืออดจวกเพิ่มภาระ ปชช.
ที่รัฐสภา นายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน.ว่าเหลืออดจริงๆเพิ่มภาระคนรายได้ปานกลางถึงผู้มีรายได้ต่ำมากถึง 100% ขอเรียกร้องรัฐบาล รมว.คลังหยุดพูดเรื่องนี้ ศึกษาให้รอบคอบถ้าจะปฏิรูปภาษีต้องทั้งระบบ ทำความเข้าใจกับประชาชนว่าเพราะรัฐบาลสิ้นคิดในการหารายได้หรือไม่ ขึ้นจาก 7% เป็น 15% ทุกคนมีผลกระทบ ทุกอย่าง ไม่ว่าสินค้าและบริการขึ้นราคาล่วงหน้ารอแล้ว ที่นายกฯประกาศว่าจะไม่มีการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว เป็นตัวอย่างหนึ่งว่ายังไม่ศึกษาอะไรเลย ระดับ รมว.คลังนึกจะพูดอะไรก็พูดออกมา ไม่น่าใช่วิธีการบริหารเศรษฐกิจของประเทศที่ดี
เอกชนชี้ ศก.โตต่ำเตี้ยไม่ใช่เวลาขยับ
วันเดียวกัน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เพดานแวตไทยอยู่ที่ 10% แต่หลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยยังเติบโตในระดับต่ำไม่ถึง 2% ทำให้รัฐบาลที่ผ่านมายังคงต่ออายุการเก็บแวตไว้ที่ 7% และปีนี้เศรษฐกิจไทยยังเติบโตอยู่ระดับเดิม จึงยังไม่ใช่เวลาจะปรับขึ้น เชื่อว่าหากรัฐบาลจะปรับขึ้น คงไม่ปรับขึ้นทันที คงต้องหารือกับภาคเอกชนก่อน จะปรับขึ้นจาก 7% เป็น 10% หรือ 15% จะส่งผลกระทบต่อทั้งประชาชนและภาคเอกชน โดยเฉพาะอาจทำให้เลี่ยงเข้าสู่ระแบบแวต ปัจจุบัน รัฐบาลยังไม่สามารถเก็บแวตจากผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยเฉพาะเอสเอ็มอี และผู้ค้าขายผ่านอี-คอมเมิร์ซ คิดเป็นเงินมหาศาล ถ้ารัฐบาลจะเก็บแวตเพิ่มขึ้นอีก เกรงว่าจะทำให้เลี่ยงเข้าสู่ระบบแวตได้ รัฐบาลต้องผลักดันให้ผู้ประกอบการเหล่านี้เข้าสู่ระบบแวต เข้าสู่ระบบภาษีให้มากขึ้น ถ้ารัฐบาลทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 5% กระจายรายได้สู่ประชาชนให้มากขึ้น การปรับขึ้นแวตถึงน่าจะรับได้
จี้ดึงธุรกิจนอกระบบ-ผู้ค้าออนไลน์
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า ขณะนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะปรับขึ้นแวต เพราะเศรษฐกิจไทยยังเติบโตต่ำ ประชาชนมีปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะเอสเอ็มอีมีปัญหาหนี้สิน ทางที่ดีรัฐบาลควรผลักดันให้ธุรกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบให้มากขึ้น ไม่ว่าธุรกิจใต้ดิน ธุรกิจต่างๆที่เป็นนอมินีคนต่างด้าวฯลฯ เพื่อรัฐบาลจะจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นเงินจะไหลออกนอกประเทศหมด รวมทั้งต้องดึงแรงงานนอกระบบ ที่มีมากถึงราว 50% ของแรงงานในระบบให้เข้าสู่ระบบมากขึ้นด้วย
ฝ่ายค้านลับมีดยื่นอภิปรายต้นปี 68
ที่รัฐสภา นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. รองประธานวิปฝ่ายค้าน ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมการยื่นอภิปรายรัฐบาลว่า รัฐบาลเริ่มดำเนินงานมาระยะหนึ่ง ยังมีข้อมูลอีกหลายประเด็นที่จำเป็นต้องสอบถามรัฐบาล เช่น โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ สถานการณ์ภัยพิบัติ เขากระโดง และอีกมายมาย จะมีนัดหมายหัวหน้าพรรคในพรรคร่วมฝ่ายค้าน พูดคุยกันอย่างเป็นทางการ ช่วงกลางเดือน ธ.ค.จะมีคำตอบชัดเจน แต่ยืนยันว่าไม่ว่าอภิปรายทั่วไป อภิปรายไม่ไว้วางใจจะเกิดขึ้นช่วงต้นปี 2568 แน่นอน นอกจากนี้เปิดสมัยประชุมสภาฯ 12 ธ.ค.นี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านคาดหวังว่านายกฯจะพร้อมมาตอบกระทู้ถามสดด้วยตัวเอง หากไม่มาตอบจะเป็นข้อพิรุธที่พรรคฝ่ายค้านจะนำไปสู่การอภิปราย ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายทั่วไปหรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
จี้ “วันนอร์” นัดถกแก้ รธน. เดือน ธ.ค.
นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า ส่วนการพิจารณาร่างกฎหมายต่างๆจะเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่สองหลังเปิดสมัยประชุมสภาฯ อาทิ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ที่ กมธ.พิจารณาเสร็จแล้ว วันที่ 18 ธ.ค.จุดยืนเรายังคงหลักการใช้เสียงข้างมากชั้นเดียวในการทำประชามติ หลังประธานรัฐสภาเคยระบุจะประชุมพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญภายในเดือน ธ.ค. แต่ยังไม่นัดหารือวิปสามฝ่ายขอเรียกร้องไปยังประธานรัฐสภา ให้เป็นตัวกลางในการประสานวิปสามฝ่ายมาพูดคุยกัน หากดูจากรายงานข่าวต่างๆ เห็นว่าทุกฝ่ายพร้อมจะพูดคุยกัน และ สว. ชุดนี้เป็น สว.ชุดใหม่ ยังเชื่อมั่นว่าไม่มีใครมากดปุ่มสั่งได้
ปธ.สภาฯเรียกหารือวิป 3 ฝ่าย 13 ธ.ค.
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาให้สัมภาษณ์ถึงกรณีฝ่ายค้านจี้ให้นัดหมายตัวแทนวิปสามฝ่ายหารือกำหนดวันประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้ภายในเดือน ธ.ค.ว่า จะเรียกตัวแทนวิปสามฝ่ายหารือวันที่ 13 ธ.ค. ที่ผ่านมามีปัญหาน้ำท่วม เกรงว่า สส.ที่เป็นผู้แทนฯของแต่ละวิปฯ รวมถึงฝั่งรัฐบาลเองจะมาประชุมไม่พร้อมกัน เมื่อประชุมจะมีการพิจารณากำหนดกันว่าจะประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาเรื่องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญกันวันไหน จะพยายามให้ประชุมในเดือน ธ.ค. เท่าที่คุยกับผู้เสนอกฎหมาย เรายังไม่เอาทั้ง 17 ฉบับมาพูดพร้อมกัน แต่จะเลือกเอาฉบับที่เห็นร่วมกัน บางฉบับเร่งด่วน บางฉบับไม่ได้เร่งด่วนเป็นต้น ทั้ง 17 ฉบับนี้แก้รายมาตรา คิดว่าสัปดาห์หนึ่งน่าจะพิจารณาได้ 3-4 ฉบับ ขึ้นอยู่กับการตกลงกันว่าจะอภิปรายมากน้อยแค่ไหน
ยธ.แจง 7 โรคร้ายแรงรุมเร้า
เมื่อเวลา 10.30 น. ที่กระทรวงยุติธรรม นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม พร้อมผู้เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าวชี้แจงการปล่อยตัว พักการลงโทษนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์และนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ “เสี่ยเปี๋ยง” จำเลยในคดีทุจริตจำนำข้าว โดยนายสมบูรณ์ ศิลา ผบ.เรือนจำกลางคลองเปรมกล่าวว่า กรณีเสี่ยเปี๋ยงได้รับการเสนอพักโทษ อนุกรรมการเสนอมา 2 กรณี คือพักโทษปกติ 3 คน และพักกรณีพิเศษ 3 คน 1 ในนั้นมีโรคไตของเสี่ยเปี๋ยง คนที่ 2 เป็นมะเร็งระยะ
สุดท้าย และคนที่ 3 ตาบอด ได้พักโทษ 2 คน คนตาบอดมีโทษผิดศีลธรรมต่อประชาชนร้ายแรง จึงไม่อนุญาตให้พักโทษ “เสี่ยเปี๋ยง” เป็นผู้ป่วยกลุ่ม 6.8 มีโรคร้ายแรงที่เจ็บป่วยประมาณ 7 โรค คือโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ความดันโลหิตสูง หยุดหายใจขณะนอนหลับชนิดรุนแรง ต่อมลูกหมากโต กระดูกสันหลังทับเส้นประสาท ฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ เบาหวาน และหลอดเลือดสมองตีบ แพทย์ผู้เกี่ยวข้องระบุไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เสี่ยงต่อการติดเชื้อ มีโอกาสสูงที่จะเสียชีวิตหากอยู่ในสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมและเข้าหลักเกณฑ์จำคุกแล้วเกิน 1 ใน 3 ของโทษ และเป็นนักโทษตั้งแต่ชั้นกลางขึ้นไปเป็นผู้ต้องขังที่เจ็บป่วยร้ายแรง อายุเกิน 70 ปี ไม่มีโทษในคดีอื่น และมีผู้อุปการะ มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
3 แสนคนแน่นคุกต้องบริหารการลงโทษ
พ.ต.ท.เชน กาญจนาปัจจ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ โฆษกราชทัณฑ์กล่าวว่า เรือนจำมีผู้ต้องขังกว่า 300,000 คน ต้องบริหารการลงโทษ หนึ่งในนั้นคือการพักโทษ แบบปกติต้องรับโทษแล้ว 2 ใน 3 แบบพิเศษจำโทษมาแล้ว 1 ใน 3 และมีอาการป่วยเฉพาะที่กฎหมายกำหนดหรือใกล้จะเสียชีวิต ในปี 66 มีการพักโทษแบบปกติ 10,552 คน แบบพิเศษ 1,776 คน รวม 12,328 คน ส่วนปี 67 พักโทษแบบปกติ 6,792 คน แบบพิเศษ 1,320 คน รวม 8,112 คน รายละเอียดจะเสนอมาจากเรือนจำโดยคณะกรรมทั้ง 8 คน จากนั้นนำเข้าสู่คณะอนุกรรมการกรมราชทัณฑ์ 19 คน ที่มีปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน
แพทย์ชี้ไตเสื่อมจำเป็นต้องฟอก
นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผอ.ทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ กล่าวว่า ผู้ต้องขังรายนี้ประวัติมีโรค ประจำตัวตามวัยอยู่แล้ว ติดตามต่อเนื่องอาการไม่ทุเลาลง จึงส่งตัวไปรักษาที่ รพ.รามาธิบดีพบแพทย์เฉพาะด้านโรคไต เจาะชิ้นเนื้อที่ไตแพทย์ลงความเห็นเป็นภาวะไตเสื่อมระยะสุดท้าย จำเป็นต้องฟอกไต จนกระทั่งช่วงปี 66 ได้รับการพิจารณาให้ปลูกถ่ายไตและจำเป็นต้องได้รับยากดภูมิ รายใดจะได้พักโทษกรณีพิเศษกรณีเจ็บป่วยร้ายแรง ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ป่วยกลุ่มโรคไตวายเรื้อรังที่จำเป็นต้องฟอกไต เฉพาะ รพ.ราชทัณฑ์ปี 66 มีผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังเข้าเกณฑ์จะได้รับพักโทษกรณีพิเศษ 15 ราย และในปี 67 ยังมีอีกจำนวนหนึ่งที่เข้าเกณฑ์จำคุกมาแล้วระยะหนึ่ง จะเข้าสู่กระบวนพิจารณาโดยคณะกรรมการต่อไป
พท.ชงแก้ให้อำนาจ ครม.ตั้งนายพล
ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่าเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ได้เผยแพร่ผลการรับฟังความเห็นประชาชนในร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ที่นายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. เสนอตามแนวทางรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ให้ประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็น โดยเปิดรับฟังความเห็น 1 เดือนตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.67-1 ม.ค.68 ผ่านมา 4 วัน มีผู้ร่วมแสดงความเห็น 11,230 คน เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว 88.89% ไม่เห็นด้วย 11.11% สาระสำคัญของร่างกฎหมายคือให้อำนาจ ครม.มีหน้าที่และอำนาจพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้น เพราะการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลตาม พ.ร.บ. จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 มีการวางตัวบุคคลที่เป็นพวกพ้องของ ผบ.เหล่าทัพ ให้สืบสายเป็น ผบ.เหล่าทัพต่อไป ทำให้ไม่เป็นธรรมกับนายทหารที่มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่ใช่พวกพ้องของ ผบ.เหล่าทัพ เสียโอกาสได้ก้าวหน้าในชีวิตราชการทหาร ควรให้อำนาจ ครม.พิจารณา รวมถึงปรับโครงสร้างสภากลาโหม ให้นายกฯ เป็นประธานสภากลาโหมแทน รมว.กลาโหม
ตีกรอบห้ามทหารยึดอำนาจ-ก่อกบฏ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ยังเพิ่มเติมเนื้อหาการจัดระเบียบปฏิบัติราชการทหาร มาตรา 35 ห้ามทหารใช้กำลังทหารหรือข้าราชการทหาร ในกรณีการยึดหรือควบคุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินจากรัฐบาล หรือเพื่อก่อการกบฏ รวมถึงขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ราชการส่วนราชการต่างๆ ห้ามใช้เพื่อธุรกิจหรือกิจการอันเป็นประโยชน์ส่วนตัวของผู้บังคับบัญชา และกระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมายอื่นๆ โดยกำหนดว่าข้าราชการทหารที่ได้รับคำสั่งให้ทำย่อมมีสิทธิไม่ปฏิบัติตาม และไม่ถือว่าผิดวินัยทหารหรือกฎหมายอาญาทหาร โดยเพิ่มบทลงโทษนายทหารที่ฝ่าฝืนมาตรา 35 ด้วยการหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวตามคำสั่งของนายกฯ เพื่อให้เกิดการสอบสวน โดยไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการพักราชการตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อป้องกันไม่ให้ทหารใช้อำนาจในทางที่ผิด เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่