เวลามันจะขึ้นอะไรต่อมิอะไรก็ดูจะเป็นใจไปเสียหมด

ล่าสุด กกต.ก็ประกาศว่า กรณีที่ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” อดีตรัฐมนตรีคมนาคม จากพรรคภูมิใจไทยบริจาคเงินให้พรรค

ไม่เข้าข่ายความผิด

ก็รอดตัวไป!

คงทำให้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

หัวใจพองโตขึ้นอีกเป็นกอง ยิ่งเวลานี้กำลังมีประเด็นงัดข้อกับพรรคใหญ่แกนนำรัฐบาลคือ “เพื่อไทย” ว่าด้วยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ตั้งแต่การที่ “เพื่อไทย” จะยื่นแก้ไขว่าด้วยเรื่องจริยธรรมนักการเมือง แต่ภูมิใจไทยไม่เห็นด้วยรวมไปถึง สว.สายสีนํ้าเงินต้องการให้กฎหมายว่าทำประชามติต้องใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น

คือผู้ไปลงคะแนนจะต้องมากกว่าครึ่งหนึ่งและการใช้สิทธิชี้ผลแพ้-ชนะ ต้องมากกว่าครึ่งหนึ่งด้วย เรียกว่าจะต้องให้เสียงมากกว่า 2 ชั้นกำกับ

ซึ่งทำให้มติของสภาผู้แทนฯที่เห็นชอบให้เป็นแค่ชั้นเดียวเท่านั้น

ประเด็นก็คือ เมื่อเกิดความเห็นต่างอย่างนี้ก็ต้องตั้ง กมธ. ร่วม 2 สภา ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่กำหนดไทม์ไลน์ไว้จะต้องล่าช้าออกไป

ว่ากันอย่างตรงไปตรงมาก็คือไม่ต้องการให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญดำเนินการได้

เพราะทุกอย่างได้ดำเนินการไว้นั้นผูกโยงกับเงื่อนเวลาเอาไว้แล้ว เมื่อเกิดปัญหานี้ขึ้นมาจึงต้องหาทางออก

แต่ดูแล้วถ้า สว.ยังยืนยันเช่นเดิมก็จะทำให้การแก้ไขยากที่จะสำเร็จ

รัฐบาลโดย “เพื่อไทย” หาทางแก้ด้วยการขอให้พรรคร่วมทุกพรรคมาประชุมร่วมกันเพื่อยุติปัญหา

เบื้องต้นจะคุยนอกรอบและเชิญ สว.หารือด้วย

แต่ความเคลื่อนไหวล่าสุดจากท่าทีของ “อนุทิน” บอกว่ายังไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะประชาชนกำลังได้รับความเดือดร้อนจากนํ้าท่วมจึงขอแก้ไขปัญหาก่อน

...

“เรื่องนี้เอาไว้ทีหลัง”

อีกทั้งนํ้าท่วมก็เป็นใจด้วย เพราะหลายจังหวัดเกิดนํ้าท่วมระลอก 2 ทำให้เกิดปัญหาต่อเนื่องที่สามารถนำมาเป็นเหตุผลอ้างได้

ถ้าจะฟันธงกันก็พูดได้ว่า “อนุทิน” จะเบี้ยว...ว่างั้นเถอะ

ถ้านับต้นสายปลายเหตุทั้งหมดน่าจะพูดได้ว่า “ภูมิใจไทย” นั้นไม่ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นรายมาตราหรือทั้งฉบับก็ตาม

เพราะถ้าใช้รัฐธรรมนูญปี 50 ไม่มีการแก้ไขทุกอย่างก็จะคงสภาพเดิม สว.ก็มาจากการเลือกตั้งแบบสาขาอาชีพเลือกกันเอง มีอำนาจเหมือนเดิม แก้รัฐธรรมนูญก็ต้องใช้เสียง สว. 70 คนขึ้นไป

ที่สำคัญคือมีอำนาจแต่งตั้งองค์กรอิสระทั้งหมด

แล้ว สว.สายสีนํ้าเงินกี่คนเป็นของใคร พรรคไหน ก็รู้กันอยู่ ดังนั้นหากทุกอย่างยังคงเดิมก็จะทำให้ภูมิใจไทยมีอำนาจบารมีที่ทำให้ดุลอำนาจเหนือพรรคการเมืองอื่นๆ

สถานการณ์อย่างนี้หากดึงเรื่องเอาไว้จนถึงสิ้นเดือน ต.ค. การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับก็ทำไม่ได้แล้ว

ดังนั้น พรรคภูมิใจไทยจึงต้องเล่นบทขวางลำหรือหาทางที่จะทำให้เพื่อไทยคล้อยตามว่า ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญเพราะจะเข้าทาง “พรรคสีส้ม”

แม้จะมีการทำสัญญาใจมาก่อนก็ตาม

แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน

หรือว่าจะ “แตกหัก” กันก็ตามใจ!

"สายล่อฟ้า"

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม