การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดใหม่ในระดับจังหวัด กกต.รายงานว่า เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เรื่องราวที่กลายเป็นข่าวฮือฮา กลายเป็นการสอบตกของบรรดาผู้สมัครคนดังๆ เป็นการเลือกใน 77 จังหวัด เลือกจากผู้สมัครที่ผ่านการเลือกจากระดับอำเภอ 23,645 คน ให้เหลือ 3,080 คน เพื่อเลือกระดับชาติเหลือ 200 คน

เป็นการเลือก สว. 200 คน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 107 ที่ระบุว่า เป็น “การเลือกกันเอง” ของคณะบุคคลผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือทำงาน หรือเคยทำงานในสาขาแตกต่างหลากหลายในสังคม แบ่งเป็น 20 กลุ่ม เช่น สาขาการบริหารราชการและความมั่นคง การศึกษา การทำนา และสื่อมวลชน

ผู้มีสิทธิเลือกคือ ผู้สมัครทั่วประเทศกว่า 48,000 คน จึงมีเสียงวิจารณ์ว่าเป็นการเลือก (ตั้ง) ที่ขัดหลักประชาธิปไตย เป็นวิธีที่พิสดารที่สุด มีผู้มีสิทธิเลือก สว.เพียง 48,000 กว่าคน เลือก สว.เป็นผู้แทนปวงชน 200 คน จากประชากรทั้งหมดกว่า 66 ล้านคน แนะนำตัวได้แต่ห้ามหาเสียง และห้ามเกี่ยวข้องกับพรรค

200 สว.ชุดใหม่ มีอำนาจหน้าที่เท่าเทียมกับ 250 สว.ที่ครบวาระแล้ว แต่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่จนกว่าจะได้ สว.ชุดใหม่ เพียงแต่ไม่มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีเหมือนกับ สว.ชุดก่อน นอกจากนั้นยังมีอำนาจเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นอำนาจในการกลั่นกรองกฎหมายการควบคุมการ บริหารราชการแผ่นดิน การแต่งตั้งองค์กรรัฐธรรมนูญ

อำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ ทำให้การปกครองของประเทศไทยเป็น “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” มาเกือบสิบปีในสมัยรัฐบาล คสช.ที่ใช้สืบทอดอำนาจ แม้จะหมดไปแล้วตามบทเฉพาะกาล แต่อำนาจยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญของ สว.ยังมีอยู่ต้องได้รับความเห็นชอบจาก สว.อย่างน้อย 1 ใน 3

...

ถ้ารัฐบาลจะแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งใหญ่ ตามที่กำลังดำเนินการมาเกือบปีแล้ว จะต้องได้รับความเห็นชอบจาก สว.อย่างน้อย 1 ใน 3 คือ 65 เสียงขึ้นไป มิฉะนั้นการแก้ไขจะถูกคว่ำ แม้จะได้รับความเห็นชอบจาก สส.ทั้งสภา 500 เสียง ซึ่งเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภาในยุครัฐบาล คสช. สภาผู้แทนที่มาจากประชาชนจึงแก้ รธน.ไม่ได้

สว.ชุดก่อนที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช.ยอมให้แก้ไขรัฐธรรมนูญได้แค่ประเด็นเดียว และเป็นประเด็นเล็กๆ แก้ไขการเลือกตั้ง สส.จากการใช้บัตรใบเดียวมาเป็นสองใบ การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย เป็นสัญญาประชาคมที่สำคัญ ถ้ารัฐบาลแก้ไม่สำเร็จเพราะถูก สว.ยับยั้ง จะมองหน้าประชาชนได้หรือ.

คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม