ความขยันของ นายกฯเศรษฐา ทวีสิน สวนทางกับ โพลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เป็นเหตุให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปถึงผลงานรัฐบาล บริหารงานมาจนครบ 9 เดือน อีก 3 เดือนก็จะครบ 1 ปี ที่รัฐบาลและนายกฯเศรษฐา อุตส่าห์กัดฟันฝ่ากระแสการเมืองมาจนถึงวันนี้ ถ้าจะสรุปผลโพลของภาครัฐและภาคนักวิชาการ รัฐบาลก็สอบตกอยู่ดี เป็นเพราะอะไร
หรือถ้าจะวัดจาก ความขยันและตั้งใจทำงาน ต้องยอมรับว่า นายกฯเศรษฐา ขยันและตั้งใจทำงาน ชนิดวิ่ง สู้ ฟัด แต่ภาพลักษณ์ที่ออกมากลับไม่โดนใจชาวบ้าน ถ้าจะวัดจากวิบากกรรมทางการเมืองทั้งกรรมเก่ากรรมใหม่ นายกฯเศรษฐาก็ไม่เคยไปร่วมวิบากกรรมการเมืองทั้งในอดีตและปัจจุบัน มีเพียงการเป็นหนึ่งแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย เมื่อเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยที่หักกับพรรคก้าวไกล ในการร่วมเป็นแกนนำในการตั้งรัฐบาล หันไปจับมือกับพรรคอนุรักษ์นิยม สลับขั้วการเมือง ติดกระดุมผิดเม็ด ชาวบ้านก็เลยอกหักไม่พอใจ
เพราะตำแหน่งนายกฯ แรกเริ่มเดิมที ควรจะเป็นของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคก้าวไกล ที่ได้เสียงข้างมากตามกติกา ไปบิลต์อารมณ์ว่าที่นายกฯ ขนาดนั้นพอมาเปลี่ยนเป็นเศรษฐา ชาวบ้านก็เลยเสียอารมณ์
แต่จะไปโทษ เศรษฐา คนเดียวก็ไม่ได้ ก็ต้องโทษพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด เศรษฐา เพื่อไทยตบมือข้างเดียวก็คงไม่ดัง ถ้าวันนี้ นายกฯเศรษฐา พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล จะไปต่อก็ต้องทบทวนเป็นกรณีศึกษาว่า ทำไมการแก้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลจึงกลายเป็นภาพลบ ถ้าจะบอกว่าเป็นการอ่อนด้านประชาสัมพันธ์ก็คงไม่ใช่ เพราะรัฐบาลชุดนี้เน้นการประชาสัมพันธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม และด้วยวิธีพิเศษอยู่แล้ว
แต่ถ้าจะบอกว่าประชาสัมพันธ์ผิดวัตถุประสงค์ แบบเหวี่ยงแห หรือขาดกลยุทธ์ในการประชาสัมพันธ์ หรือใช้วิธีดั้งเดิมไปเน้นแต่ปริมาณไม่เน้นคุณภาพข้อนี้อาจจะมีส่วน เช่นรัฐบาลไปใช้สำนักงานสถิติแห่งชาติทำโพลความนิยมผลงานรัฐบาล จุดประสงค์สร้างภาพลักษณ์ แต่กลายเป็นภาพลบเพราะคนเชื่อนิด้าโพลมากกว่า
...
เรื่องของนโยบาย ที่ยังไม่โดนใจชาวบ้าน ยังเกาไม่ถูกที่คันและไม่ประสบความสำเร็จยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมก็มีส่วน ยกตัวอย่าง โครงการแลนด์บริดจ์ ซอฟต์พาวเวอร์ หรือดิจิทัลวอลเล็ต ที่เป็นนโยบายหลัก รัฐทุ่มเทหมดหน้าตักแต่ยังไม่มีอะไรจับต้องได้ โดยเฉพาะนโยบายปากท้องชาวบ้านลดภาระค่าครองชีพ ยังไม่เข้าเป้า นำไปสู่วาทกรรม สินค้าแพง ค่าแรงถูก
การกระตุ้นเศรษฐกิจการดึงเม็ดเงินลงทุน นายกฯเซลส์แมนประสบความสำเร็จแค่ไหน ซึ่งไม่ใช่ความผิดของนายกฯโดยตรงแต่เกิดจากปัจจัยภาพรวมภายในของประเทศ ทำให้เม็ดเงินลงทุน ไปตกประเทศเพื่อนบ้านที่พร้อมกว่า อาทิ มาเลเซีย ไม่ว่าจะเป็น กูเกิล อิงค์ ที่ไปลงทุน ดาต้าเซ็นเตอร์ ไมโครซอฟท์ คอร์ป อินวิเดีย คอร์ป แอปเปิล อิงค์ หรือล่าสุดไบต์แดนซ์ บริษัทแม่ของติ๊กต่อก ก็ไปตั้งฮับเอไอในมาเลเซีย ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 7.8 หมื่นล้านบาท
และจากคำพูดของนายกฯเศรษฐา อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ผม เป็นคำตอบสุดท้ายของหัวข้อสนทนาวันนี้.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th
คลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม