วันนี้ต้องยอมรับว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไม่ค่อยจะดีนัก ที่ชัดเจนพอจะนำมาอ้างได้ก็อย่างตลาดทุนที่นักลงทุนหอบเงินออกนอกประเทศไปจำนวนไม่น้อย
“ตลาดหุ้น” นั้นทรุดอย่างชัดเจน ยังไม่มีแววว่าจะฟื้นขึ้นมาอย่างไร นอกจากคาดการณ์กันว่า อีกไม่นานน่าจะดีขึ้น
จึงไม่แปลกที่นายกรัฐมนตรีต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน
นั่นเป็นปัญหาด้านหนึ่ง...
แต่ยังมีอีกปัญหาที่ว่ากันว่าทำให้เกิดผลกระทบไปทุกด้านก็คือ “การเมือง” โดยเฉพาะด้านความขัดแย้งของคนในสังคม
นายกรัฐมนตรีถูกยื่นถอดถอนก็ยังไม่วายอยู่หากเกิดปัญหาขัดแย้งในสังคมขึ้นมาอีกก็ไม่ต้องพูดถึง
ที่ทำท่าจะปริๆขึ้นมาแล้วก็คือปัญหาที่เกี่ยวกับ ม.112 ว่าด้วยการนิรโทษกรรม ความจริงเรื่องนี้ค่อนข้างชัดเจนมาตลอด
“ก้าวไกล” นั้นต้องการให้ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่พ่วงผู้กระทำผิด ม.112 ด้วย
แต่รัฐบาลทุกพรรคต่างเห็นสอดคล้องกันว่า ไม่เอาด้วยรวมถึงประชาชนส่วนหนึ่งที่เห็นตรงกันในแนวนี้
ครั้นสถานการณ์เปลี่ยน เมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ถูกอัยการสั่งฟ้องในความผิด ม.112 ปรากฏคนของ “เพื่อไทย” อย่างน้อย 2 คนเสียงเริ่มเปลี่ยนไป
1. “ชูศักดิ์ ศิรินิล” ประธาน กมธ. พ.ร.บ.นิรโทษกรรมและเป็นคนหนึ่งในฐานะ “มือกฎหมาย” แต่พลาดเก้าอี้รัฐมนตรี
เขาให้ความเห็นว่า “ความผิดตาม ม.112 นั้น เป็นผลพวงจากการรัฐประหาร หรือมีแรงจูงใจทางการเมือง”
คือหมายความว่า 2 แง่ ที่จะบอกว่า เพราะรัฐประหารจึงมีเหตุอย่างนี้ และมีแรงจูงใจทางการเมือง
เพื่อให้ตีความโยงไปถึงผู้ที่ทำผิดคดีนี้น่าจะได้รับการนิรโทษกรรมด้วย
...
2. “เชิดชัย ตันติศิรินทร์” สส.บัญชีรายชื่อ “เพื่อไทย” และ กมธ.นิรโทษกรรม บอกว่า น่าจะรวมพวกผิด ม.112 ด้วย เพราะเป็นวันมหามงคลเนื่องในโอกาส “ในหลวง” ครบ 72 พรรษา
คือพยายามที่จะหาเหตุมาโยงเพื่อให้เข้าข่ายเพื่อจะได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมแบบ “สุดซอย” เพื่อให้ “นายใหญ่” พ้นคดีด้วย
ความจริง “เพื่อไทย” ทุกคนตั้งแต่หัวจดหางน่าจะจำใส่ใจกันให้ดี เพราะสมัยที่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพื่อหวังให้ “ทักษิณ” พ้นความผิด และเดินทางกลับประเทศได้นั้น
เกิดอะไรขึ้น...
หากพิจารณาจากสถานการณ์ที่เป็นจริงแล้ว พรรคร่วมรัฐบาล ทุกพรรคต่างก็มีจุดยืนเป็นของตนเองและประกาศอย่างชัดเจนไปแล้ว
ล่าสุด “ชาติไทยพัฒนา” โดยหัวหน้าพรรคก็ย้ำเจตนารมณ์ด้วยการประกาศว่า ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม ม.112
ว่าไปเรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน และมีผลต่อเนื่องมาตลอดซึ่ง “ก้าวไกล” ก็รู้ดีอยู่แล้ว แต่เพราะเป็นแนวคิดของพวกเขาที่ไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ “เพื่อไทย” นี่สิพอเกี่ยวพันไปถึง “นายใหญ่” ของพวกเขา เสียงก็เริ่มเปลี่ยนไปก็ต้องไปปรับความคิดให้ตรงกันว่า จะเอาอย่างไร เพราะกฎหมายฉบับนี้จะเสนอให้สภาพิจารณาราวกลางเดือนกรกฎาคม
เพราะถ้าตัดสินใจพลาดก็จบทั้งพรรคและรัฐบาล
อย่าเอาเรื่องปวดหัวนี้ไปถามนายกรัฐมนตรีก็แล้วกัน!
“สายล่อฟ้า”
คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม