เริ่มต้นเดือนมกราคม 2567 ประเดิมศักราชใหม่

เป็นโอกาสของการเริ่มต้นชีวิตในรอบปีใหม่ พลเมืองทั่วโลกประชาชนคนไทยจะเผชิญกับในอีก 365 วันข้างหน้า

และถือจังหวะที่ “ทีมการเมืองไทยรัฐ” จะได้ประเมินความเป็นไป โดยเฉพาะในแง่มุมของเกมอำนาจทางการเมือง ตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่โยงต่อเนื่องมาจากปีเก่า และเหตุการณ์ที่จะต้องเกิดขึ้นตามเงื่อนเวลา

ปีมะโรง “งูใหญ่” ที่พิษร้าย แถมแรงมหาศาล “รัดแน่น”

เบื้องต้นโฟกัสไปที่ศูนย์กลางอำนาจ รัฐบาลผสมเพื่อไทย ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง จะต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในฐานะผู้กุมอำนาจรัฐ ฝ่ายบริหารราชการแผ่นดิน

ตามสภาพโจทย์ร้อนตรงหน้า มหาภัยฝุ่นควันพิษ PM2.5 ที่เป็นวิกฤติประจำฤดู สถิติย้อนหลังหนักหนาสาหัสในช่วงต้นปี ติดต่อกันมาหลายปีหลัง

สภาพ “จุดแดงเถือก” ครอบคลุมประเทศไทย

พื้นที่ภาคเหนือต้องเจอกับควันจากไฟป่า ผสมกับควันเผาพื้นที่ทำไร่ที่ลอยมาจากประเทศเพื่อนบ้าน

กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล ภาคกลาง จังหวัดหัวเมืองใหญ่ โดนฝุ่นควันจากท่อไอเสียรถยนต์ โรงงาน โครงการก่อสร้าง ฯลฯ

อากาศปิด เรือนกระจกปกคลุม เหมือนโดนฝาชีครอบ

สภาพกดดัน ชาวบ้านสำลักฝุ่น รัฐบาลสำลักเสียงด่า ประชาชนต้องผจญมฤตยูอันตรายต่อร่างกาย โรคระบบทางเดินหายใจ เสี่ยงโรคร้ายมะเร็งปอด ผลต่อพัฒนาการทางสมองของเด็กเล็ก

ฝุ่นกระทบสุขภาพประชาชน ไม่เป็นผลดีต่อสถานภาพรัฐบาล

บททดสอบเชิงบริหารการจัดการ PM2.5 จะโยงต่อเนื่องไปถึงสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ ภารกิจเร่งด่วน 100 วันแรก ในการประคองปากท้องประชาชน ตามฟอร์มเก่งที่ยี่ห้อเพื่อไทยเคลมเป็นจุดขาย

...

รัฐบาลของนายเศรษฐาหวังใช้เป็นตั๋วแลกโปรโมชันอยู่ยาว

ที่สำคัญคือการชดเชยแต้มต้นทุนหน้าตักที่เสียหายหนักจากการผิดคำพูด ฉีกขั้วประชาธิปไตยไปจัดตั้งรัฐบาลสูตรพิสดาร ผสมพันธุ์ขั้ว 3 ป.

แบบที่ไล่อัดฉีดกันตั้งแต่การประชุม ครม.นัดแรก ครึ่งปีหลัง 2566 ที่ผ่านมา อัดมาตรการ ลด แลก แจก แถม ดัมพ์ค่าน้ำมัน ชดเชยราคาแก๊ส หั่นค่าไฟฟ้า

พักหนี้เกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ เคลียร์หนี้นอกระบบ มัดคอแบงก์รัฐเข้าอุ้ม

ช่วยประชาชนรากหญ้า ซื้อใจชาวบ้านร้านตลาดเต็มที่

แต่ของฟรีไม่มีในโลก ประชานิยมก็แค่ยาพารา เซตามอล แก้ปวดชั่วคราว

ปีนี้ถึงจังหวะหมดโปรโมชัน ประชาชนคนไทยต้องเจอบิลค่าไฟฟ้างวดเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน 2567 จะขึ้นเป็นหน่วยละ 4.10 บาท

ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำตามรูปเกมนายกรัฐมนตรี เทกแอ็กชัน แต่ก็ผลักดันไปได้แค่ 2 บาท ถึง 16 บาท ตามมติคณะกรรมการค่าจ้าง กระทรวงแรงงาน

เพิ่มมากกว่านั้นไม่ได้ เพราะโดนคณะกรรมการฝ่ายนายจ้างสกัดอยู่หมัด

และในขณะที่สภาพคลังถังแตก มีแต่ราย จ่าย ไม่มีรายรับ ความหวังกับ “น้ำบ่อหน้า” ที่นายเศรษฐาบินไปต่างประเทศถี่ยิบ สวมบทเป็นเซลส์แมนประเทศ

โชว์ดีลดึงกลุ่มทุนยักษ์ระดับโลกมาปักหมุดในเมืองไทย แต่ยังไม่รู้เมื่อถึงเวลาจริงๆ จะได้เห็นผลเป็นรูปธรรมมากน้อยแค่ไหน

ตามโครงสร้างการพัฒนาการทางเศรษฐกิจไทยที่ไม่เอื้อกับเทรนด์เศรษฐกิจโลก จากการขาดช่วงในการพัฒนาทั้งในด้านทักษะของแรงงาน และการลงทุนสอดรับกับเศรษฐกิจโลกยุคใหม่

โดยโจทย์สถานการณ์ยากต่อการลุ้นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจจากภายนอกประเทศ ต้องพึ่งการอัดฉีดเศรษฐกิจภายในแบบอัฐยายซื้อขนมยาย

ในสภาพเรือธง “ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท” ติดภูเขาน้ำแข็ง

ยุทธการเทกระจาดงบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาท เป้าหมายประชาชนคนไทย 50 ล้านคน ยังสาละวนอยู่กับการแหยงติดเงี่ยงกฎหมาย ยึกยักอยู่ในขั้นคณะกรรมการกฤษฎีกา ยังต้องฝ่าด่านหิน สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลรัฐธรรมนูญ

ลุ้นเส้นตายตามที่นายเศรษฐาล็อกคิวไว้ อย่างช้าในเดือนพฤษภาคม 2567 ต้องลุ้นเหนื่อย ถ้าทันก็คงเส้นยาแดงผ่าแปด
เงินกู้ 5 แสนล้านเทกระจาดดิจิทัลวอลเล็ตไม่ลื่นไหล ขณะที่งบประมาณปกติ ก็ไม่ได้แบ่งชามข้าวกันง่ายๆ ภายใต้สถานการณ์ที่ฝ่ายค้านพรรคก้าวไกล ยกระดับเป็นฝ่ายค้านอย่างสมบูรณ์

กับฟอร์มเด็กที่เขี้ยวเริ่มงอก ไล่กัดติดทุจริตแบบไม่ปล่อย

ยุทธศาสตร์แบ่งบทกันเล่นชัดๆ “เดอะต๋อม” นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค ขัดตาพรรคในฐานะผู้นำฝ่ายค้านกับ “ดร.ไหม” ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค กัปตันทีมเศรษฐกิจ คุมเกมปะทะในสภา

ขณะที่ “หนุ่มทิม” นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ขยับเกมรุก เปิดปฏิบัติการ “ฝ่ายค้านนอกสภา” แก้เกมโดนล็อกไม่ให้เข้าสภา

จังหวะลุ้นคดีหุ้นสื่อไอทีวีที่ค้างอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาลากยาวข้ามปี ได้เวลารู้ผลพลิกคว่ำพลิกหงาย ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 24 มกราคมนี้ รวมถึงคดีหมิ่นเหม่มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล ที่โทษหนักถึงขั้นยุบพรรค
แต่ไม่ว่าจะหักกลางลำหรือไม่ กองทัพส้มก็ยังเหมากวาดกระแสคนรุ่นใหม่

นอกสภา หรือ ในสภา “พิธา” ก็ยังเป็น “เพลย์เมกเกอร์” ของยี่ห้อก้าวไกล ตัวเชียร์แขกด้อมส้มเรียกแต้มจากชนชั้นกลางหัวเมืองใหญ่

และอำนาจแฝงสูงสุดยังอยู่กับ “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้นำจิตวิญญาณกองทัพส้ม

ก้าวไกลมุ่งสะสมแต้ม ลุ้นกวาด สส.ในศึกเลือกตั้งรอบต่อไป

และจะได้ชิมลางวัดกำลัง หยั่งกระแสก่อนในศึกเลือกตั้งท้องถิ่น คิวเลือกนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ทั่วประเทศช่วงต้นปี 2567

ตามรูปการณ์กระตุ้นเรตติ้ง นายเศรษฐาหนีไม่พ้นศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดนฝ่ายค้านจับขึ้นเขียงเชือดโชว์ในสมัยประชุมสภานี้แน่นอน

เกมในสภาอยู่กับฝ่ายค้าน พรรคก้าวไกล ในสถานการณ์นับถอยหลัง “250 สว.ลากตั้ง” จะครบเทอมในเดือนพฤษภาคมนี้

ด่าน “อรหันต์ทองคำ” ต้องสลายตามเงื่อนเวลา

และในจังหวะ “สุญญากาศอำนาจ สว.” เกมในสภาตกเป็นของสภาผู้แทนราษฎร รอกระบวนการเลือก สว.ชุดใหม่

ขณะที่ไฮไลต์นอกสภา ก็ได้เวลาลุ้นของคนที่อยากกลับไปนอนบ้านอย่างเท่ๆ

ตามสถานการณ์ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษชายเด็ดขาดจากคดีทุจริต ที่ได้สิทธินอนพักรักษาอาการป่วยอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ

นับตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ที่เดินทางกลับประเทศไทย เดือนกุมภาพันธ์

ปี 2567 นี้ก็ครบเกณฑ์ เงื่อนไขรับโทษ 1 ใน 3 ของนักโทษที่มีอาการป่วย อายุเกิน 70 ปี จากที่ได้รับ พระราชทานอภัยลดโทษจากจำคุก 8 ปี เหลือจำคุกแค่ 1 ปี

ตามจังหวะนำร่อง ที่มีการออกระเบียบกรมราชทัณฑ์

ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 เปิดช่องให้ “คุมขัง” ได้ทั้งในสถานที่ราชการ สถานพยาบาลประเภทที่รับผู้ป่วยไว้ค้างคืน

รวมไปถึง “สถานที่สำหรับอยู่อาศัย”

ทั้งระเบียบราชทัณฑ์ใหม่ เงื่อนไขรับโทษ 1 ใน 3 มีอาการป่วย หรืออายุเกิน 70 ปี “ทักษิณ” เข้าเกณฑ์หมดโอกาสออกจากเรือนจำกลับไปนอนบ้านสูง

หรือถึงจะไม่ได้ออกกุมภาพันธ์นี้ เดือนสิงหาคมก็ครบกำหนดโทษ 1 ปี

สรุปปี 2567 “นายใหญ่” ออกจากเรือนจำแน่

และน่าจะทำให้การบริหารจัดการอำนาจ ตามบทบาทของผู้นำจิตวิญญาณส่งพลังแฝงผ่าน “ดีเอ็นเอ” สายเลือดตรง อย่าง “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ทำได้อย่างถนัดไม้ถนัดมือ

ได้จังหวะเชิด “กล่องดวงใจ” อุ้มลูกสาวจ่อเตรียมขึ้นแท่นนายกรัฐมนตรี

ตามระดับสัญญาณความแรงแบบที่จุดกระแส กระตุกภาพอำนาจเชิงซ้อน ระหว่าง “นายกฯเศรษฐา” กับ “อุ๊งอิ๊ง” ที่แต่งตัวรอ เตรียมขึ้นแท่นนายกฯหญิงในอนาคต

ตามร่องรอย จากเสียงโวยวายของ สส.พรรคเพื่อไทย ที่ออกอาการหงุดหงิดนายเศรษฐา ต่อสายยาก สะท้อนธรรมชาตินักเลือกตั้งอาชีพแบบไทยๆ จะยึด “ศูนย์กลางอำนาจ” แท้จริงมากกว่า

ยิ่ง “นายใหญ่” ได้กลับไปอยู่บ้าน เปิดการสื่อสารทุกช่องทาง

สัญญาณจันทร์ส่องหล้า ยิ่งต้องดังชัดเจนกว่าคนในทำเนียบฯ

สถานการณ์ปีมะโรงงูใหญ่ “ทักษิณ” รีเทิร์น สปอตไลต์ฉายส่อง “อุ๊งอิ๊ง” ขยับทาบเงา “นายกฯเศรษฐา” ตามสภาพการณ์ที่ประเมินทิศทางล่วงหน้า

ทีมการเมืองเราจึงขอชี้ว่า ปี 2567 คือปี “อำนาจซ้อน”.

“ทีมการเมือง”

คลิกอ่านคอลัมน์ "วิเคราะห์การเมือง" เพิ่มเติม