ย่างเข้าธันวาคม เดือนสุดท้ายปลายปีห้วงเวลาของการเร่งงานสะสางภารกิจ หน่วย ราชการ รัฐวิสาหกิจต้องรีบเก็บงานตกค้างของปีเก่า บริษัทเอกชนก็ต้องปิดยอดกำไรขาดทุนจังหวะการเมืองก็เข้าสู่เงื่อนเวลา “100 วัน” ของรัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลัง ที่ตั้งธงร่วมกับภาคธุรกิจชั้นนำของประเทศ ในการบริหารโจทย์สถานการณ์เร่งด่วนประคองเศรษฐกิจ ประทังปัญหาปากท้องของ ประชาชนคนไทยตามฟอร์มของค่ายเพื่อไทยที่โชว์จุดขายในเชิงบริหารเศรษฐกิจมืออาชีพ ขันอาสามาฟื้นความกินดี อยู่ดี ให้ชาวบ้านรากหญ้านั่นไม่เท่ากับการกู้กระแส แก้ลำจากที่ผิดคำพูดตั้งรัฐบาลสูตรพิสดารไฟต์บังคับอย่างที่ผู้นำรัฐบาลเล่นบท “เสี่ยสั่งลุย” อัดมาตรการลด แลก แจก แถม ไม่หยุดตั้งแต่เริ่มประชุม ครม.นัดแรก ลุยจัดโปรโมชันกันแทบจะรายสัปดาห์ ลดราคาน้ำมัน หั่นค่าไฟฟ้า ดัมพ์ราคาแก๊ส ฯลฯตามสูตร “ลดค่าครองชีพ” พยุงภาระค่าใช้จ่ายคนหาเช้ากินค่ำฟอร์มเก๋าของนักเลือกตั้งอาชีพ รีบเอาใจชาวบ้านร้านตลาดให้รู้สึกได้ถึงความช่วยเหลือจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ความตั้งใจจริงของผู้นำ อาศัยความเป็นเจ้าตำรับประชานิยมผ่องถ่ายแรงเสียดทานทางการเมืองจากฝ่ายต่อต้านและก็ได้ผลระดับหนึ่ง เสียงโห่ฮาตระบัดสัตย์ลดโทนลงแต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอชดเชยต้นทุนหน้าตักเพื่อไทยที่หดหายไปอย่างที่รู้กัน โดยเป้าหมายแท้จริงของนายเศรษฐาและทีมยุทธศาสตร์พรรคแกนนำรัฐบาลมันอยู่ที่การแล่น “เรือธง” หวังใช้โครงการเทกระจาด “ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท” กวาดคะแนนนิยมให้รัฐบาลอัดฉีดเศรษฐกิจไปพร้อมกับการบริหารแต้มทางการเมืองถ้าไม่บังเอิญเรื่องไม่เป็นไปตามแผน ด้วยตัวเลขงบประมาณมหาศาลกว่า 5 แสนล้านบาท ที่ไปกระตุก “โบดำ” โครงการทุจริตจำนำข้าวของยี่ห้อเพื่อไทย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจโดยพื้นฐานกระแสความไม่ไว้วางใจในวิบากกรรมเก่า ประกอบกับตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ศสช.) แถลงข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่มีการแปรสัญญาณกันไปคนละทิศต่างฝ่ายต่างมอง “วิกฤติเศรษฐกิจ” คนละมุมผู้นำรัฐบาลเจอรุมเบรกมุกประชานิยมแฝงเหลี่ยมโกยแต้มทางการเมือง“เรือธง” ดิจิทัลวอลเล็ตฯ ติดภูเขาน้ำแข็ง ถอยหลังไม่ออก เดินหน้าไม่ได้ ณ จุดที่เรื่อง พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านยังค้างเติ่ง ไม่ถึงมือคณะกรรมการกฤษฎีกาปมข้อกฎหมายยังคาราคาซัง เพราะอาการแหยงคดีกว่าจะไปถึงด่านที่ดักอยู่ข้างหน้า ทั้งขั้นตอนสภา และสุดท้ายหนีพ้นโดนลากไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่นับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ลับดาบรอล่วงหน้าล้อกับเสียงของนายเศรษฐาที่ยืนยันเดินหน้าแจกเงินดิจิทัลฯแผ่วลงและนั่นก็ทำให้ต้องลัดคิวมาเสริมกองทัพประชานิยม ทดแทนเรือธงดิจิทัล วอลเล็ตฯ ที่ติดแหง็ก ผู้นำรัฐบาลเพื่อไทยนำทีมโหมโรงโปรโมชันใหม่ เปิดยุทธการล้างหนี้นอกระบบ ชูธงปลดแอก “ทาสยุคใหม่”ดึงแบงก์รัฐ ทั้งกรุงไทย ออมสิน มาช่วยอุ้มรีไฟแนนซ์แผนประคองปากท้องรากหญ้า ลด แลก แจก แถม ช่วยแบกหนี้ให้คลังหลวงมีแต่รายจ่าย มากกว่าช่องทางหารายได้นอกจากภาคการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องยนต์หลักได้อานิสงส์ช่วงไฮซีซัน หันไปทางอื่นยังขยับไม่ออก การปั่นโปรเจกต์ “ซอฟต์เพาเวอร์” หรือ “พลังละมุน” ที่ยังมีความเป็นนามธรรมสูงกว่ารูปธรรม“หมูกระทะ-วัวชน-ลอยยี่เป็ง” ฟุ้งไปหมดหรือการโรดโชว์ กวักมือเรียกบริษัทยักษ์ระดับโลกมาลงทุนในประเทศไทย ก็ยังเจอเงื่อนไขยากๆ ว่าด้วยเรื่องของ “คาร์บอนเครดิต” เทรนด์เศรษฐกิจโลกยุคใหม่ที่ยึดมาตรการดูแลสิ่งแวดล้อม ขณะที่โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ขาดการอัปเกรด ไม่ทันกับพัฒนาการทางธุรกิจของโลกยากจะจูงใจนักลงทุนมาเสี่ยงกับมาตรการกำแพงภาษีสารพัดด่านโหด โจทย์โคตรยาก สภาพการ บริหารเศรษฐกิจภายใต้การนำของนายเศรษฐาไม่ง่ายเหมือนในอดีตที่พรรคเพื่อไทยตีกินประชานิยมและเมื่อการบริหารเศรษฐกิจตามฟอร์มเก่งไม่ลื่นไหล ทำให้ทีมยุทธศาสตร์ของ “นายใหญ่” ต้องหันไปบริหารยุทธศาสตร์การเมืองตีคู่ขนานเสริมหลักประกันในเกมเลือกตั้งรอบต่อไป พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณอย่างที่จัดโปรแกรมให้นายเศรษฐาเดินสายมุดเข้า “บ้านใหญ่” ทั้งที่จังหวัดสระแก้ว พื้นที่ของ “ป๋าเหนาะ” นายเสนาะ เทียนทอง เจ้าพ่อวังน้ำเย็น บิดาของนายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทยต่อด้วยการไปร่วมงานลอยกระทงที่จังหวัดสุโขทัย ร่วมเฟรมกับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกฯ ในฐานะบ้านใหญ่เจ้าของพื้นที่พรรคเพื่อไทยย้อนกลับ “เส้นทางเก่า” เน้นการเมืองแบบเดิมๆที่ตีกินแต้มชัวร์จากระบบฐานเสียงจัดตั้ง อุดจุดบอดจากความพ่ายแพ้เสียแชมป์ให้พรรคก้าวไกล เพราะกระแสสู้ไม่ได้แต่ในจังหวะที่เพื่อไทยขยับปรับยุทธศาสตร์การเมือง ป้อมค่ายอื่นก็ไม่ได้อยู่นิ่งเหมือนกันโฟกัสไปที่ทีมเด็กรุ่นใหม่ ถึงคิวที่ “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โผล่ออกฉากหน้า ประชันความคิดประกบมวยกับผู้นำรัฐบาลแสดงตัวแสดงตนอยู่ในระดับที่ไปร่วมวง “ดีลลับฮ่องกง”ยกระดับเป็น “ผู้นำจิตวิญญาณ” ของกองทัพก้าวไกล ในระนาบเดียวกันกับพรรคเพื่อไทยที่รับสัญญาณตรงจากชั้น 14เช่นเดียวกับยี่ห้อประชาธิปัตย์ที่เละเทะสุดในประวัติศาสตร์ “สถาบันการเมืองไทย”มาถึงจุดที่ “มาดามเดียร์” น.ส.วทันยา บุนนาค ที่เพิ่งเข้ามาสวมเสื้อค่ายพระแม่ธรณีบีบมวยผมแค่ 1–2 ปี อาสาเป็นแม่ทัพกู้บ้านที่ผุพังด้วยจุดยืนชัดๆ มุ่งเป็นฝ่ายค้าน ฟื้นศรัทธา หักมุมกับอีกขั้วในประชาธิปัตย์ ที่บินไปร่วมวงดีลที่ฮ่องกง ต่อสายตรงชั้น 14 เป็นอะไหล่จ้องรอเรียกเสียบรัฐบาลแตกหักเป็นแตกหัก ประชาธิปัตย์ต้องรีบตั้งหลักไปต่ออีกจุดก็คือค่ายพลังประชารัฐ ที่จับสัญญาณ “ทหารเฒ่า” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค กลับมาปักหลัก ไล่กระชับพื้นที่คืนจากที่โดน “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรฯ เลขาธิการพรรคยึดครองเคลมเป็นสาขา 2 ของ “นายใหญ่” ต่อสายดีลตรง“บิ๊กบราเธอร์” ฮึดกลับมาแสดงตัวให้รู้ไม่มีคำว่า “ถอย” ก่อนอื่นต้องลุยยึดค่ายพลังประชารัฐคืนเป็นฐานอำนาจ ไม่ยอมโดนทิ้งไว้ข้างหลังอย่างเดียวดายตามรูปเกมน่าจะมีการ “รีโนเวต” พปชร.ใหม่ “พี่ใหญ่” นั่งกำกับฉากหลังแนวโน้มอาจสลับคิวให้น้องรักอย่าง “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีตนายทหารผู้กว้างขวางในวงการกองทัพและแวดวงการเมืองที่ “บิ๊กป้อม” ไว้วางใจเหมือน “น้องในไส้” และยังหน้าสดสุดในทีมบ้านป่ารอยต่อฯ แต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ในการไปต่อทางยาวๆณ จุดที่เกมอำนาจแกว่ง รัฐบาลผสมเพื่อไทยเกมบริหารสะดุด ไม่ไหลลื่นป้อมค่ายการเมืองปรับหมาก เติมแต้มต่อบนกระดานอำนาจเตรียมตัวพร้อม ลุยเกมตะลุมบอนตลอดเวลา.“ทีมการเมือง”คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม