“นายกฯ คุยเรื่องอื่น ไม่คุยการเมือง” “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และแคนดิเดตนายกฯ พปชร. เปิดใจถึงความสัมพันธ์ของ 3 ป. อีกครั้ง หลัง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ถูกวางเป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)

พร้อมย้ำว่า “คุยเรื่องอื่น เว้นการเมือง ต่างคนต่างไม่คุยกันเลย ต่างคนต่างลงพื้นที่”
ก่อนย้อนไปสมัยที่เป็นทหารหนุ่มยศร้อยเอก นายกฯ ยศร้อยตรีก็มารายงานตัวกับผม และอยู่ด้วยกันนับจากวันนั้นจวบจนปัจจุบัน
อยู่บ้านหลังเดียวกัน 3 คน ร้อยเอก-ร้อยโท-ร้อยตรี (บิ๊กป้อม-บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย-บิ๊กตู่)
“2 คนนี้ไม่มีใครน่ารักหรอก น่าเตะด้วยกันทั้งคู่” ตอบด้วยรอยยิ้มแบบทีเล่นทีจริง หลังถูกกระเซ้าถามว่าน้อง 2 คน ระหว่าง “บิ๊กป๊อก” กับ “บิ๊กตู่” ใครน่ารักกว่ากัน
“ผมทำกับข้าวเลี้ยง แต่ก่อนชอบทำ ทำได้ทุกอย่าง บอกมาสิ...แกงเผ็ด แกงเนื้อ ทำได้หมด”
...
ไลฟ์สไตล์เป็นคนชอบสะสมเสื้อแจ็กเกตมีลายสวยๆ เยอะมาก กางเกงยีนส์ก็เยอะ หลายยี่ห้อ ปกติทุกอาทิตย์จะใส่แบบนี้ เป็นมานมนานตั้งแต่หนุ่มแล้ว
บ่งบอกตัวตนการแต่งตัวในวันหยุด เห็นชัดเจนจังหวะที่เดินตลาด อ.ต.ก. ใส่เสื้อแบรนด์คนไทย “อิชชู่ ไทยแลนด์” ปรากฏว่ามีพ่อค้า แม่ค้า ประชาชน แห่ขอถ่ายภาพคู่เป็นที่ระลึก
วัย 78 ปียังฟิต!! มีแรงโหมงานทั้งภารกิจรองนายกฯและหัวหน้า พปชร. ตระเวนลงพื้นที่จังหวัดต่างๆ แต่ละวันกลับถึงบ้าน 2 ทุ่ม ตื่นตี 4 ทุกวัน ทำให้ไม่มีเวลาเดินออกกำลังกายในน้ำเหมือนเดิมแล้ว
ทุกวันนี้กินกลางวันมื้อเดียว มื้อเย็นไม่มี ถ้ากินก็นิดหน่อย แปลกไหม!? ทำงานได้ทั้งวันแต่ไม่หิวเลย อย่างว่า...ผมน่ะแก่แล้ว แรงไม่มีต้องใช้ใจมาช่วย
“ใจบันดาลแรง” ไม่ใช่เอาใจบันดาลใจ

พูดครั้งแรกตอน “ผมกำลังขึ้นรถมีคนมาถามว่าทำไมแข็งแรงจัง ผมบอกว่าใช้ใจบันดาลแรง แค่นั้นแหละ” กลายเป็นวลีฮิตติดลมบน
“ทีมการเมือง” ได้ถามถึงจดหมายเปิดผนึกฉบับแรก เป็นวัคซีนหยุดเลือดไหล ลงบนเพจเฟซบุ๊ก “พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” มียอดสืบค้นหาทางกูเกิลถึง 8 แสนครั้ง และเพิ่มทะลุ 1.5 ล้านครั้งในวันถัดไป
ก็ร่อนจดหมายเปิดผนึกฉบับที่สองบอกไปถึงแฟนคลับ ให้เห็นถึงผู้นำที่มีจุดแข็งเหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศ โดยออกตัวเป็นมือใหม่โซเชียล แต่ไม่ใช่มือใหม่ทางการเมือง
ตลอด 8 ปี เรียนรู้ว่านักการเมืองไม่จำเป็นต้องพูดเก่ง แต่จะต้องคิดเก่งประสานกับทุกฝ่ายประนีประนอมกับทุกพรรค เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง โดยยึดผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหัวใจสำคัญ ถึงสามารถผลักดันประเทศชาติให้เดินหน้าไปได้
ขณะนี้เป้าหมายที่ พปชร.ให้ความสำคัญนำพาประเทศฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจไปให้ได้
กำชับให้ทำนโยบายยึดโยงประชาชน
ถึงเวลาพัฒนาประเทศจากล่างขึ้นบน
โดยสรรหาคนเก่ง มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆมาช่วยระดมความคิด เพื่อเสนอต่อสังคม นโยบายแรกเติมเงินสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มเป็นเดือนละ 700 บาท หรือ “ป้อม 700” ประกาศไปแล้ว
ยังมีอีก 3 เรื่องเร่งด่วนที่ให้ความสำคัญ คือ 1.สร้างโครงสร้างพื้นฐานชุมชนให้เข้มแข็ง 2.ปรับโครงสร้างพลังงานให้เป็นธรรม 3.ปฏิรูประบบสุขภาพปฐมภูมิชุมชน เพิ่มพลังให้ประชาชน สร้างพลังแก่รัฐ
ขอขยายภาพทิศทางการปฏิรูประบบสุขภาพปฐมภูมิ ที่ทีมนโยบาย พปชร. นำเสนอจนหัวหน้า พปชร. ขานรับ
ชูเป็นนโยบายเสาหลักระบบสุขภาพปฐมภูมิ ลดความเหลื่อมล้ำ ปฏิรูประบบสุขภาพปฐมภูมิ (ชุมชน) อย่างมีคุณภาพ ทั่วถึงและเป็นธรรม ครอบคลุมนโยบายผู้สูงอายุติดเตียง ติดบ้าน นโยบายพัฒนาเด็กปฐมวัย 0-6 ปี สร้างเด็กไทยเก่งดี มีความสามารถ
ระบบสุขภาพปฐมภูมิ ปฏิรูปเชิงรุกจับต้องได้ ว่ากันไปตามจริงระบบสุขภาพปฐมภูมิ ไม่ใช่การรักษาขั้นพื้นฐาน ราคาถูก คุณภาพต่ำ หรือเพียงการคัดกรองโรคขั้นต้น
แต่เป็นการดูแลสุขภาพอย่างมีคุณภาพ เข้าใจชีวิตของผู้คน “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” เป็นระบบสุขภาพเชิงรุก ที่ใช้บ้าน ชุมชนเป็นฐาน

มีการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม การดูแลที่ต่อเนื่องและผสมผสาน ใช้เทคโนโลยีการแพทย์ทางไกล สร้างการทูตเพื่อสาธารณสุขบริบทอาเซียน เป็นแนวทางปฏิรูปประเทศลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาค
รวมไปถึงกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น สร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมืองและชนบท เรียกง่ายๆเป็นระบบดูแลตนเอง กำหนดสุขภาพ
ชุมชน!! ดูแลถึงครัวเรือน พื้นที่ต่างๆในชุมชน
ใช้งบประมาณไม่มาก แต่มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลสูง ตัวอย่างรูปธรรมในการดำเนินเชิงรุก อาทิ การดูแลผู้สูงอายุติดเตียงที่บ้าน การทดลองแนวทางปฏิรูปเขตสุขภาพ (Sandboxes)
การดูแลผู้ป่วยอัมพาต ค้นหาผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อในชุมชนเมือง ชุมชนแออัด และชนบท เน้นให้ตรวจด้วยตัวเอง เช่น ชุดตรวจเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โควิด-19 และมีการคัดกรองมะเร็ง
นโยบายการปฏิรูประบบสุขภาพปฐมภูมิ จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ขอฉายภาพให้เห็นถึงการดูแลผู้สูงอายุติดเตียง ติดบ้าน
โดยมุ่งส่งเสริมสุขภาพ ป้องกัน รักษา ฟื้นฟู ดูแลแบบประคับประคอง ตลอดจนการตายดี (Good Death) นำพาคนในครอบครัวไปสู่สุคติ ไม่ใช่ทุรนทุรายในไอซียู ที่เต็มไปด้วยสายระโยงระยางของอุปกรณ์ทางการแพทย์
ซึ่งตอนนี้มีจำนวน 5 แสนรายทั่วประเทศ โดยกรอบกระบวนการดำเนินงาน และวิธีการขับเคลื่อนนโยบายเชิงรุกถึงครัวเรือน ชุมชน ให้ปรากฏผลจริงภายใน 3-6 เดือน เคาะงบประมาณอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี เพื่อลดทุกขภาวะของพี่น้องคนไทยไม่น้อยกว่า 5 แสนครอบครัว
พร้อมเร่งฝึกอบรมอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่น เพื่อร่วมกันดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน ร่วมกับพยาบาล แพทย์ บุคลากรสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลชุมชนระดับอำเภอ โรงพยาบาลทั่วไประดับจังหวัด ยังเป็นการสร้างงานในชนบทไม่น้อยกว่า 1 แสนตำแหน่งได้อีกด้วย
มาถึงบรรทัดนี้ขอถามถึงจดหมายเปิดผนึกฉบับที่สาม เตรียมออกเปิดต่อสาธารณะเมื่อไหร่ พล.อ.ประวิตร ระบุว่า “ไม่บอก” แต่ที่บอกได้แน่ๆ คือมีผู้แสดงความจำนงลงสมัคร ส.ส.วิ่งมาที่ พปชร.เยอะมาก บางเขต 4-7 คน ทับพื้นที่กันน่าดู ต้องทำโพลชี้ขาด ยึดหลักการเอา ส.ส.เก่าลงก่อน
ไม่เคยไปดูดใครและ ส.ส.เก่าใครอยากไป ไม่ว่ากัน
“ผมไม่รู้ใจเขา แล้วแต่เขา นักการเมืองต้องไปคิดด้วยตัวเอง จะเข้าหรือออก ก็ตัวเขาเอง ใครก็ไปนั่นเขาไม่ได้ นอกจากที่ถูกเงินซื้อ แต่ผมไม่มีเงินซื้อ”

ส่วนบุคลากรด้านต่างๆพร้อมสรรพ ทีมเศรษฐกิจตอนบอกว่าไม่มี...ก็ไม่มีเลย แต่บอกว่ามี...ก็มีเยอะเลย อาทิ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ นายวราเทพ รัตนากร นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ด้านสังคม น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ
ด้านความมั่นคง ผมดูเอง เคยเป็น รมว.กลาโหม 11 ปี คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 8 ปี เป็นรองนายกฯ ดูด้านความมั่นคง ตอนนั้นเดินไม่ค่อยได้ให้ “บิ๊กตู่” ดู แต่ตอนนี้ขาเริ่มดี สุขภาพไม่มีปัญหา
พปชร.พูดคุยทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทยอย่างไร พล.อ.ประวิตร บอกว่า ตั้งแต่เป็นหัวหน้า พปชร.ไม่เคยเจอ “ทักษิณ” (นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ) ไม่เคยเจอใครทั้งนั้น ไม่เคยพูดจากัน พูดกันไปเอง ถามกันจัง
ลงเลือกตั้งครั้งนี้อยากเห็นประเทศเปลี่ยนแปลงไปสู่การปรองดอง พล.อ.ประวิตร บอกว่า ผมไม่เคยขัดแย้งกับใคร แต่ไม่ใช่เรื่องการปรองดอง
มันก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อลดความขัดแย้ง
เมื่อไม่มีความขัดแย้ง ย่อมไม่ต้องปรองดอง.
ทีมการเมือง