อากาศหนาวเริ่มซา ที่มาแทนคือฝุ่นควัน PM2.5 ปกคลุมหลายจังหวัด

ฝุ่นควัน PM2.5 คละเคล้ากันไปเลยกับฝุ่นควันการเมือง

ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ฤดูกาลเลือกตั้งใหญ่ที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ ล่าสุดราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศบังคับใช้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2566 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2566

ขณะที่กรรมการผู้ควบคุมกติกาอย่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ขอเวลา 45 วันนับจากราชกิจจา นุเบกษาประกาศบังคับใช้กฎหมายเลือกตั้งและกฎหมายพรรคการเมือง ในการดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้ง คิดคำนวณจำนวนประชากรผู้มีสิทธิหย่อนบัตรลงคะแนน

ซึ่งนั่นต้องสอดคล้องไปกับแผนการจัดการของรัฐบาล โดยเฉพาะ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ผู้มีอำนาจในการกำหนดความเป็นอยู่เป็นไปของสภาผู้แทนราษฎร

ต้องดำเนินการสอดรับกับ กกต.เพื่อไม่ให้เกิดปมปัญหายุ่งยากในทางปฏิบัติ

ที่แน่ๆมีการยืนยันชัดเจนแล้ว จากปากของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย การยุบสภาจะไม่เกิดขึ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้แน่นอน ตามเงื่อนไขที่ กกต.ขอเวลาเตรียมตัวมา

...

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า นักเลือกตั้งทุกป้อมค่ายจะเอ้อระเหยลอยชาย

เพราะว่ากันตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ระยะปลอดภัยสุดสำหรับนักเลือกตั้งอาชีพ วันที่ 7 กุมภาพันธ์นี้ คือเดดไลน์ เส้นตายในการย้ายพรรค ปักหมุดสังกัดชัดเจน

เป็นไปตามไทม์ไลน์ที่ กกต.ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ ยึดเอาวันที่รัฐบาล “บิ๊กตู่” อยู่ครบเทอมในวันที่ 23 มีนาคม 2566 ต้องจัดเลือกตั้งภายใน 45 วัน ลากไปนานสุดคือวันที่ 7 พฤษภาคม

โดยที่กฎหมายล็อกไว้ด้วยว่า ในกรณีเลือกตั้งเพราะสภาฯอยู่ครบเทอม ผู้มีสิทธิสมัคร ส.ส.ได้ ต้องสังกัดพรรคการเมือง ไม่น้อยกว่า 90 วัน นั่นคือนับย้อนหลังมาถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ คือวันสุดท้าย

แต่ในกรณียุบสภา นั่นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะกฎหมายกำหนดให้เลือกตั้งภายใน 45-60 วัน และผู้มีสิทธิลงสมัคร ส.ส.ได้ ต้องสังกัดพรรคภายใน 30 วัน

มันจึงไม่มีใครกล้าเสี่ยงทายใจ “บิ๊กตู่” จะยุบสภาล้มกระดาน หรือลากจนครบวาระ

ทางที่ดีคือ ปลอดภัยไว้ก่อน

แบบที่เห็น ส.ส.ลาออกกันแบบรายวัน จนสภาโหรงเหรง ล่มแล้วล่มอีก ไม่เหลือสภาพองค์ประชุม

โดยความคึกคักมันไปอยู่ที่บรรยากาศการหาเสียงนอกสภา ตามจังหวะที่ทุกป้อมค่ายการเมืองต่างเดินหน้าลุยหาเสียงกันฝุ่นตลบ ตามจังหวะปี่กลองเชิดฉิ่งโหมโรงศึกเลือกตั้ง

ลงพื้นที่กันครึกครื้นทั้งต่างจังหวัดและเมืองกรุง

แน่นอน โฟกัสอยู่ที่ลุงๆทหารเฒ่า 2 ป. ที่ล่อกันอีนุงตุงนัง ระหว่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม หัวขบวนของพรรครวมไทยสร้างชาติ กับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกฯ กัปตันทีมค่ายพลังประชารัฐ

ปาดหน้า ตลบหลัง บี้กันเองแบบไม่ไว้ไมตรีพี่น้อง

ไฟต์บังคับเกมเลือกตั้ง ศึกชิงอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองทำให้ “บิ๊กป้อม-บิ๊กตู่” ต้องแยกสายสัมพันธ์ พักความเป็นทหารอาชีพ หันมาเป็นคู่ต่อสู้ในสนามของนักเลือกตั้งอาชีพ

และอ่านทางมวย ดูทรงแล้วเกมจะบีบคั้น “น้องเล็ก” มากกว่า

ว่ากันตามปรากฏการณ์ที่ทีมหามแห่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องทิ้งไพ่ตาย หงายไพ่เล่น ด้วยการจับ “บิ๊กตู่” ใส่ปาร์ตี้ลิสต์ ลงสมัคร ส.ส.ในบัญชีรายชื่ออันดับหนึ่งของค่ายรวมไทยสร้างชาติ

เพิ่มโอกาสในการขายแบบเหมายกพวงใหญ่

นั่นหมายถึงทั่นผู้นำต้องลุยคลุกฝุ่น เสี่ยงล่อเป้าสหบาทาจากคู่แข่ง ไม่ได้ลอยตัวสบายๆเหมือนตอนที่เป็นแคนดิเดตนายกฯในบัญชีพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งรอบที่แล้ว

แนวโน้มก็มาจากสถานการณ์ที่ค่ายรวมไทยสร้างชาติไม่เปรี้ยงปร้างอย่างที่หวังกันไว้

ถึงตรงนี้ใกล้เดดไลน์ เส้นตายย้ายพรรคแล้ว ก็ยังดูโหรงเหรง ทีมหาม“บิ๊กตู่” เบิ้ลนายกฯรอบสาม ยังอยู่ในสภาพกลวงใน ไร้กองกำลังนักเลือกตั้งอาชีพที่เป็นฐานต้นทุนหน้าตักเป็นกอบเป็นกำ

ที่พอทำยาได้ก็เห็นมีแค่ระดับ “เสี่ยเฮ้ง” นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน “เสี่ยแฮงค์” นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่แตกออกไปจากก๊วนสามมิตร นอกนั้นก็เป็นพวกดาวกระจายที่กวาดต้อนมาจากค่ายประชาธิปัตย์ และพลังประชารัฐไม่กี่คน ที่ตกปลามาจาก “บ่อพี่”

แต่ที่อัดกันแน่นเลยก็คือขบวนม็อบ กปปส. ของ “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ

สแกนหน้าตากองหนุน ไม่ใช่มาช่วยดัน แต่มาโหนเอวเกาะกระแส “บิ๊กตู่” ซะมากกว่า สถานการณ์บ่งบอกว่า ยี่ห้อรวมไทยสร้างชาติก็มีแค่ พล.อ.ประยุทธ์ที่หล่ออยู่คนเดียว เรตติ้งยังดีในหมู่พ่อยก แม่ยก เลยต้องแห่ท่านผู้นำตระเวนน้ำตระเวนบก เร่งเครื่องกันสุดเกียร์ในห้วงเวลาเลือกตั้งที่กระชั้นเข้ามาทุกขณะ

“น้องเล็ก” ขาด “พี่ใหญ่” ประคอง เหนื่อยรากเลือดเลย

โดยสภาพการณ์เมื่อเทียบกับฝั่งของ “บิ๊กป้อม” ที่นับวันยิ่งแสดงความเก๋าเกมทางการเมืองข่ม “น้องเล็ก” สะท้อนถึงประสบการณ์การเกลือกกลั้วกับวงการนักเลือกตั้งอาชีพมาอย่างยาวนาน

“พี่ใหญ่” เล่นกับสถานการณ์ “ชิงดำ” ได้เนียนกว่า

ไม่ใช่แค่ลีลา “ปาดหน้า” เบียดกระแส แย่งซีนกับ “บิ๊กตู่” แบบที่เกิดขึ้นที่จังหวัดราชบุรี เยาวราช จนมาถึงการลุยเดี่ยวซื้อแกงถุงที่ตลาด อ.ต.ก. ไปยันการจัดคิวเดินสายหาเสียงต่างจังหวัดประชันกันแบบช็อตต่อช็อต

ในลีลาที่เซียนการเมืองยกให้ “พี่ใหญ่” ฟอร์มจัดจ้าน ทั้งเต้น ทั้งรำ ทั้งกอด ทั้งหอม หยอดลูกอ้อน สะท้อนความเป็นธรรมชาติของนักเลือกตั้งอาชีพ ที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อคะแนนเสียง

“ใจบันดาลแรง” กลบอาการกระย่องกระแย่ง หายเป็นปลิดทิ้ง

แต่จุดสำคัญจริงๆมันอยู่ที่กองกำลังนักเลือกตั้งอาชีพ
ที่เป็นต้นทุนหน้าตัก ทั้งกลุ่มกำแพงเพชรของนายวราเทพ รัตนากร ทีมเมืองมะขามหวานของนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ก๊วนโคราชของนายวิรัช รัตนเศรษฐ ก๊วนปากน้ำของนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม กลุ่มสามมิตรในปีกของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ทีมสระแก้วของ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ฯลฯ

ยังปักหลักอยู่กับ “พี่ใหญ่” พร้อมหน้าพร้อมตา

“บิ๊กป้อม” ตุนแต้ม ส.ส.เขตเลือกตั้ง ตรึงกำลังไว้เต็มพื้นที่ และยังมาได้จุดพลิกผันในการเซอร์ไพรส์เปิดบิ๊กดีลกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ มือบริหารเศรษฐกิจ ดึงทีมสี่กุมาร นำโดยนายอุตตม สาวนายน อดีตขุนคลัง กับนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีต รมว.พลังงาน

ควบรวมพรรคสร้างอนาคตไทย รีเทิร์นกลับถิ่นเก่าพลังประชารัฐ

จัดการแต่งหน้าเค้ก “ปาร์ตี้ลิสต์” ตีปี๊บหาเสียงได้เต็มปากเต็มคำ ยี่ห้อ พปชร. เป็นค่ายที่มีทีมเศรษฐกิจปึ้กสุด สามารถเน้นจุดขายในการนำนโยบายหาเสียงไปสู่ภาคปฏิบัติ โดยเฉพาะการเคลมผลงานบัตรคนจนที่ทีม “สมคิด” เป็นต้นคิด และทำมาตั้งแต่ต้น

พลังประชารัฐครบเครื่องทั้งบุ๋นและบู๊ มีทั้งเทพและมารประสานพลัง ตามฟอร์มธรรมชาติของพรรคแกนนำรัฐบาลในการเมืองแบบไทยๆ

แต่ทั้งหมดทั้งปวง จุดได้เปรียบของ “พี่ใหญ่” คือการ “คั่วไพ่” หลายหน้า หากเทียบกับ “บิ๊กตู่” ที่คั่วไพ่หน้าเดียว นั่นคือต้องทำให้ค่ายรวมไทยสร้างชาติโกยแต้มให้ได้เกิน 25 เสียงขึ้นไป เพื่อบวกกับ ส.ว.ลากตั้ง และจำเป็นต้องอาศัยพรรคร่วมรัฐบาลชุดเดิมในการหนุนขึ้นแท่นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

ปิดทางร่วมวงกับพรรคเพื่อไทย เพราะท่านผู้นำแสดงอาการรังเกียจไม่อยากได้ยินชื่อ “ทักษิณ”

ตรงกันข้ามกับ “บิ๊กป้อม” โดยสถานะของ “บิ๊กบรา เธอร์” ที่มีซุปเปอร์คอนเน็กชันไปทุกวงการ ไม่เว้นกับ “นายใหญ่-นายหญิง” ที่มีอดีตเบื้องหลังเคยเกื้อกูลกันมา

ยุทธการฮั้วข้ามขั้ว สูตรรัฐบาลผสมพลังประชารัฐกับเพื่อไทย ประตูเปิดอ้าซ่า

ยิ่งสถานการณ์ของ “นายห้างดูไบ” ยังก้ำกึ่ง เกมปั่นแลนด์สไลด์สะดุด เพราะเจอคนกันเองอย่าง “ตุ๊ดตู่” นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดง ปฏิบัติการแฉลากไส้

กระตุกความหวั่นไหวในหมู่กองเชียร์คนเสื้อแดงระส่ำ ระสาย

การเมืองแบบไทยๆไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อมีเงื่อนไขด้านความมั่นคงเข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญมันก็ต้องโฟกัสไปที่ทางเลือกที่ลงตัวมากสุด

เอาเป็นว่า ณ จุดที่ “บิ๊กบราเธอร์” เสริมกำลังทีมพลังประชารัฐ ทะยานขึ้นมาอยู่ในแถวหน้า ในการชิงธงแกนนำรัฐบาล หลังเลือกตั้งรอบหน้า โดยลำหักลำโค่น โดดเด่นกว่าค่ายรวมไทยสร้างชาติของ “บิ๊กตู่”

มันไม่ใช่แค่ทำให้โอกาสเข้าถึงเส้นชัยของ “น้องเล็ก” ห่างออกไป

แต่ด้วยสูตรดีลข้ามขั้ว รัฐบาลผสมพลังประชารัฐกับเพื่อไทย มันส่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ขั้วขัดแย้งที่ขึงพืดกันมานานหลายปี เป็นช่องให้พวกฉวยจังหวะผูกปีกิน กับสูตรล็อกตายตัว ทีมทหารเฒ่า 3 ป. กับค่ายภูมิใจไทยของ 2 น. และพรรคประชาธิปัตย์

ผูกเสี่ยวแบ่งชิ้นปลามัน โกยกล้วย ตุนเสบียงกันเป็นล่ำเป็นสัน

โดยที่อีกฝ่ายคือพรรคเพื่อไทย กับทีมเด็กอันตราย ค่ายก้าวไกล รอจังหวะพลิกขั้วอำนาจ

แต่มาถึงตรงนี้ โอกาสค่ายพลังประชารัฐ โดยการนำของ “บิ๊กบราเธอร์” จับมือกับพรรคเพื่อไทย ทีมนายห้างดูไบ ตั้งรัฐบาลผสมผ่านด่านความมั่นคง เป็นไปได้ตามเงื่อนไขสถานการณ์

ใครตกขบวนก็ต้องไปเป็นฝ่ายค้านกับทีมก้าวไกล.

“ทีมการเมือง”