ร่างกฎหมายลูกสองฉบับ ที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ ร่าง พ.ร.ป.พรรคการเมือง และร่าง พ.ร.ป.การเลือกตั้ง ส.ส.อยู่ในขั้นการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ แม้จะไม่ได้แก้ไขอะไรมากนัก แต่ยังมีความเห็นต่างกันอยู่ มีพรรคฝ่ายค้านคือพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล พยายามจะแก้ไขกฎหมายพรรค

ประเด็นที่ทั้งสองพรรคต้องการแก้ไขคือ การยุบพรรคการเมืองเป็นประเด็นสำคัญของการเมืองไทย ฝ่ายผู้มีอำนาจอาจใช้ประเด็นนี้เพื่อกำจัดพรรคที่ถือว่าเป็นปรปักษ์ได้ ทั้งสองพรรคฝ่ายค้านต่างเคยโดนยุบพรรคมาแล้ว พรรคเพื่อไทยโดนมาโชกโชนที่สุด ตั้งแต่พรรคไทยรักไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน จนถึงเพื่อไทยปัจจุบัน

ส่วนพรรคก้าวไกล เคยเป็นพรรคอนาคตใหม่มาก่อน ในการเลือกตั้ง 2562 ที่ผ่านมา และกลายเป็นพรรคดาวรุ่งในขณะนั้น ก่อนที่จะถูกยุบและแปลงร่างใหม่ ทั้งสองพรรคมีปัญหาเดียวกัน นั่นก็คือ ถูกร้องให้ยุบพรรคเป็นระยะๆตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง ข้อหาที่โดนบ่อยที่สุดคือ ปล่อยให้ “คนนอก” ครอบงำ หรือชี้นำพรรค

กลายเป็นข่าวสดๆร้อนๆขณะนี้ คือ กรณีที่ “นักร้องตลอดกาล” นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ร้องต่อ กกต.ให้ตรวจสอบกรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ไปพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่สิงคโปร์ ทำให้ “คนนอก” เข้าควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำพรรค ที่มีโทษถึงยุบพรรคหรือไม่

เป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.ที่จะดำเนินการต่อไป แต่ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศประชาธิปไตยที่พัฒนา พรรคการเมืองไทยมีสิทธิ์โดนยุบง่ายที่สุดในโลก ประเทศประชาธิปไตยที่พัฒนาอาจไม่มีกฎหมายพรรคการเมืองด้วยซ้ำ เพราะถือเป็นเสรีภาพของประชาชนในการจัดตั้งพรรค เช่นเดียวกับเสรีภาพในการพูด

อาจมีประเทศประชาธิปไตยบางประเทศที่ให้ยุบพรรคที่เป็นปฏิปักษ์ต่อชาติร้ายแรงที่สุด เช่น พรรคนาซีใหม่ในเยอรมนี ที่ยึดมั่นอุดมการณ์คล้ายกับพรรคนาซีของจอมเผด็จการฮิตเลอร์ ประเทศ ไทยก็น่าจะยึดหลักการยุบพรรคต้องเป็นโทษที่ร้ายแรง เช่น กระทบการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

...

หรือโทษฐานกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งบัญญัติไว้ในกฎหมายพรรคอยู่แล้ว ไม่ควรเอาเรื่องเล็กๆน้อยๆมาเป็นเหตุให้ยุบพรรค เป็นการละเมิดต่อเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน เช่นเรื่องผู้นำพรรคให้พรรคกู้จ่ายทดรองใช้ไปก่อน ซึ่งพรรคไหนๆก็ทำกัน.