ในวงการเสวนาเรื่อง “หมดเวลานายกฯก่อนประเทศหมดเวลา” เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นการเสวนาเกี่ยวกับการอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 158 ว่า “นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่”

นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานที่ปรึกษากฎหมาย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่าไม่ควรให้เวลานายกฯคนนี้มาตั้งแต่แรก เพราะเข้ามาโดยไม่ถูกต้องชอบธรรม ขอให้ลาออกไปก่อนครบ 8 ปี ในเดือนสิงหาคม ตรงกับความเห็นของนายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.พรรคก้าวไกล ที่อ้างถึง “เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ”

คนไทยที่สนใจการเมืองต่างรู้กันทั่วว่า พล.อ.ประยุทธ์ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนสิงหาคม 2557 หลังจากยึดอำนาจเพียงไม่กี่เดือนจะครบ 8 ปี ในวันที่ 23 สิงหาคมนี้ และไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งต่อไป แต่มีรายงานข่าวว่าคณะนักกฎหมายบางคณะตีความว่า พล.อ.ประยุทธ์อยู่ได้ถึงปี 2570

พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้แสดงท่าทีจะลาออกก่อนครบ 8 ปี ยังแสดงความมุ่งมั่นจะอยู่ต่อไปเพื่อเป็นเจ้าภาพในการประชุมสุดยอดเอเปกในเดือนพฤศจิกายน หรืออยู่จนครบวาระของสภาผู้แทนราษฎรถึงเดือนมีนาคม 2566 รวมเป็น 9 ปี และถ้าอยู่ต่อจนถึงปี 2570 จะเป็น 13 ปี เท่ากับจอมพล ป.พิบูลสงคราม

รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นฉบับแรกที่ห้ามนายกฯอยู่เกิน 8 ปี โดยมีเจตนารมณ์ที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้นักการเมืองเหลิงอำนาจ หรือเสพติดอำนาจ และใช้อำนาจไปในทางที่อาจเสียหายต่อประชาชนและประเทศ แล้วถ้าจะตีความแบบโปร่งใสตรงไปตรงมา พล.อ.ประยุทธ์ อาจอยู่ได้ถึงวันที่ 23 สิงหาคม

แต่ถ้าจะตีความกฎหมายแบบศรีธนญชัย ตีความเข้าข้างตนเองสามารถตีความได้ตามชอบใจ ประเด็นของการอยู่ในตำแหน่งไม่เกิน 8 ปี ไม่ใช่จะสอด คล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างเดียว แต่สอดคล้องกับ “ลายลักษณ์ อักษร” ของรัฐธรรมนูญ ที่เขียนไว้ชัดเจนว่าให้อยู่ได้ไม่เกิน 8 ปี ไม่ว่าจะอยู่ติดต่อกันหรือไม่

...

การถกเถียงในประเด็นที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีสิทธิ์อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จนถึงเมื่อใด เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง จึงไม่สามารถลดความขัดแย้ง และสร้างความปรองดองในสังคมตามสัญญาที่ให้ไว้ เพราะตัวเองเป็นคู่ขัดแย้งตั้งแต่รัฐประหาร.